“สุริยะใส” แนะ ตั้ง กก.อิสระสอบต้นตอมหาอุทกภัย-จับตา “ปู” เชือดแพะ

“สุริยะใส” ทวิตแนะ หลังสถานการณ์น้ำคลี่คลาย ต้องตั้ง กก.อิสระสอบข้อเท็จจริงรัฐบาลแก้ปัญหาล้มเหลว พร้อมหาคนรับผิดชอบ จับตาฝ่ายการเมืองจัดฉากรับผิดชอบแค่ ปรับ ครม.หาแพะ ย้าย ขรก.สังเวยหายนะ

วันที่ 13 พ.ย.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้โพสต์ขอความทางทวิตเตอร์ @suriyasai กรณีปัญหาน้ำท่วม ว่า “ผมเห็นว่าภายหลังการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ของ ส.ส.และ ส.ว.ทำให้เราได้เห็นความผิดพลาดและความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารและจัดการอุทกภัยของทั้งหน่วยงานประจำที่รับผิดชอบ ทั้งข้าราชการประจำและฝ่ายการเมือง เพราะมีประเด็นที่สังคมเคลือบแคลงคาใจที่ต้องสร้างความกระจ่าง และเพื่อเป็นการถอดบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีก ผมเห็นว่า มี 5 ปมประเด็นที่คิดว่าต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการที่มีความน่าเชื่อถือ คือ

“เหตุผล ความจำเป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง และนัยสำคัญ ที่มีการกักเก็บน้าไว้บางช่วงและพร่องน้ำบางช่วง จนไม่สามารถบริหารจัดการได้ ซึ่ง รมว.กระทรวงเกษตรฯ ยอมรับกลางสภา ว่าเป็นคนสั่งกักน้ำไว้จริง

- การใช้งบประมาณของ ศปภ.ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพ การบริหารจัดการของบริจาค การใช้กลไกรัฐเยียวยาประชาชนแบบเลือกปฏิบัติ ซึ่งมีข้อร้องเรียนเป็นจำนวนมาก

- ระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่สามารถบูรณาการได้ เกิดจากทรัพยากรเครื่องไม้เครื่องมือที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือเกิดจากอิทธิพลทางการเมือง/กลุ่มผลประโยชน์หหเข้ามาล้วงลูกแทรกแซง

- ประเมินความเสียหาย และเสนอแนวทางความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

- ถอดบทเรียนความล้มเหลวและความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการจัดการ เตือนภัย ภัยพิบัติที่มีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้นและถี่ขึ้น

“วิกฤตครั้งนี้เป็นความหายนะของชาติมีผู้เสียชีวิต มากกว่า 500 คน เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตทางสังคม วิกฤตแรงงานแต่บางฝ่ายกำลังบิดเบือนปัดความรับผิดชอบว่าเป็นภัยธรรมชาติอย่างเดียว โดยไม่มีการตรวจสอบและประเมินศักยภาพในการบริหารและจัดการปัญหาของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ที่สำคัญ มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลชุดนี้จะจัดฉากรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการปรับ ครม.และโยกย้ายข้าราชการบางหน่วยงานเท่านั้น

“โดยคณะกรรมการอิสระชุดตรวจสอบข้อเท็จจริงต้องมาจากหลายภาคส่วน และมีกระบวนการทำงานที่เปิดเผยโปร่งใส มีกรอบเวลาไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งบทบาทและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้แตกต่างและมีเป้าหมายต่างจากคณะกรรมยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและอนาคตไทย หรือ กยอ.”