โฆษก ปชป.เตือนนายกฯ ตั้งสติ อย่าเกรี้ยวกราดสื่อ แนะรับความจริง กทม.ไม่ปลอดภัย 100% ติงแก้ปัญหาสินค้าขาดแคลนไม่ตรงจุด เอะอะก็นำเข้า อัด “ไอ้ตู่” เลือดเย็น บอกรัฐบาลโชคดีน้ำท่วมช่วยขวางขบวนการจ้องล้ม ดักคอประธานสภาอย่าปิดประชุมหนีญัตติน้ำท่วม เตรียมอัดปมรัฐล้มเหลว ด้าน “เจ๊ะอามิง” หอบข้อมูลแฉรัฐบาลปูบริหารน้ำผิดพลาด กักน้ำจนเขื่อนวิกฤต
วันที่ 1 พ.ย. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ว่า ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งสติเพื่อเป็นหลักในการนำประชาชนฝ่าวิกฤติอุทกภัยครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะถ้าคนเป็นผู้นำประเทศยังไม่สามารถระงับอารมณ์ตัวเองจนแสดงอาการกราดเกรี้ยวผ่านสื่อมวลชน ย่อมกระทบต่อขวัญกำลังใจของประชาชนที่กำลังทุกข์ยากจนเกิดความท้อแท้หมดหวัง จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นอยู่กับการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ใน 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้
1.การประเมินสถานการณ์น้ำจะต้องมีความเป็นเอกภาพและให้ความจริงต่อประชาชน ไม่ใช่พูดไปคนละทาง สะท้อนความขัดแย้งใน ศปภ.รัฐมนตรีพูดไม่ตรงกันในเรื่องตัวเลข จนประชาชนเกิดความสับสน รวมทั้งมาตรการของรัฐบาลต้องสอดรับกับสถานการณ์ด้วย ไม่ใช่ประกาศให้คนอพยพแต่กลับไม่มีการขยายวันหยุดราชการ นอกจากนี้ยังต้องติดตามการระบายน้ำลงทะเลในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2.ต้องยอมรับความจริงว่า ขณะนี้ไม่มีพื้นที่ไหนในกรุงเทพมหานครปลอดภัย 100% การวางแผนเพื่ออพยพคนจึงต้องทำความเข้าใจต่อประชาชนในจุดนี้ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องไปอยู่ในต่างจังหวัดชั่วคราว ดีกว่าเสี่ยงอยู่ในกรุงเทพมหานคร เพราะหากเส้นทางเข้า-ออกกรุงเทพฯ ถูกตัดขาดจนเมืองหลวงกลายเป็นอัมพาต แม้แต่รัฐบาลก็จะไม่สามารถดูแลประชาชนได้ เช่น ประชาชนที่อยู่ที่ดอนเมืองขาดแคลนทั้งน้ำ อาหาร ไฟฟ้าและน้ำประปา โดยเฉพาะอาหารสำหรับเด็กอ่อน รัฐบาลต้องเข้าไปแก้ไข
3.ต้องเร่งแก้ปัญหาสินค้าจำเป็นขาดแคลนให้ตรงจุด ไม่ใช่สินค้าขาดแล้วใช้วิธีนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการผลิตแต่เป็นปัญหาการกระจายสินค้า เช่น ไข่ไก่ในยุครัฐบาลปูแพงถึงฟองละ 10 บาท รวมถึงการกักตุนสินค้า อีกทั้งการนำสินค้าราคาถูกไปวางขายที่ตลาด อตก.ของกระทรวงพาณิชย์ ก็ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนอย่างแท้จริง เนื่องจากคนที่จมน้ำไม่สามารถเดินทางมาซื้อไข่ไก่ราคาถูกที่ อ.ต.ก.ได้ แนวทางของกระทรวงพาณิชย์จึงเป็นเพียงการสร้างภาพว่าได้แก้ปัญหา แต่ความจริงแล้วสินค้าจำเป็นราคาถูกเหล่านั้นจะไปอยู่ในมือของประชาชนที่ไม่ใช่ผู้ประสบอุทกภัยแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ปัดสวะให้พ้นตัวบริหารเหมือนไม่ได้บริหารควรจะมีฝีมือมากกว่านี้
นอกจากนี้ ต้องบริหารจัดการของบริจาคอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อกระจายให้ถึงมือผู้ประสบอุทกภัยอย่างทันท่วงทีด้วย รวมถึงจัดหน่วยแพทย์ไปดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของผู้อพยพอย่างทั่วถึง ซึ่งจากหลักฐานภาพถ่ายที่ปรากฎกรณีสุขาลอยน้ำที่ค้างอยูใน ศปภ.โดยไม่มีการขนย้ายไปให้ผู้ประสบอุทกภัยมา เป็นตัวอย่างการบริหารที่ล้มเหลวของ ศปภ. เพราะนายกรัฐมนตรียืนยันไม่ย้ายออก ทำให้ประมาทไม่มีการขนของบริจาคออกไป ทำให้เกิดภาพทิ้งประชาชน ทิ้งสาธารณูปโภคที่จำเป็นไป จึงแสดงให้เห้นว่าของบริจาคที่ทิ้งไว้ไม่ใช่ของไม่มีคุณภาพแต่คนบริหารต่างหากที่ไม่มีคุณภาพ
4.รัฐบาลต้องแบ่งพื้นที่รับผิดชอบอย่างละเอียด ประสานกับหน่วยงานท้องถิ่นให้เป็นผู้บริการประชาชนในจุดที่เจ้าหน้าที่รัฐอาจเข้าไม่ถึง โดยส่วนกลางตั้งศูนย์บริการ อาหาร น้ำดื่ม ในจุดที่ใกล้ที่สุด มอบเรือให้ท้องถิ่นไปบริหารเพื่อการนำอาหารไปให้ชาวบ้าน รวมทั้งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในยามที่จำเป็น เพราะลำพังการทำงานของรัฐบาลกลางย่อมไม่เพียงพอต่อการดูแลประชาชนในขณะที่ปัญหากระจายตัวเป็นวงกว้างครอบคลุมในหลายพื้นที่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่สำคัญต้องกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้วย หากยังไม่มีระบบการบริหารที่ดีการขาดแคลนอาหารของประชาชนที่ประสบอุทกภัยอาจกลายเป็นการจลาจลกลางเมืองได้ในเวลาไม่ช้านี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องคนสู้กับน้ำ แต่เป็นเรื่องระหว่างคนกับคนแล้ว
5.รัฐบาลต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่ใกล้กับประตูระบายน้ำ หรือพนังกั้นน้ำ เพื่อชี้แจงถึงการบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และกำหนดให้ชัดเจนถึงมาตรการเยียวยาประชาชนในพื้นที่ที่อาจต้องเสียสละรับน้ำ มิเช่นนั้นปัญหาความขัดแย้งเหมือนที่คลองสามวาจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นตามมา จนรัฐบาลอาจอยู่ในสภาพมีอำนาจแต่บริหารไม่ได้ กลายเป็นรัฐล้มเหลวที่ประชาชนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการบริหารประเทศ ทั้งนี้พรรคยังยืนยันว่ารัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษเพื่อบริหารบ้านเมืองในภาวะไม่ปกติ
นอกจากนี้ การแก้ปัญหามวลชนคลองสามวาโดยให้เปิดประตูระบายน้ำ 100 เซนติเมตร โดยไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนปลายน้ำ รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรม จะเกิดผลกระทบตามมา ถือเป็นการบริหารงานที่ล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง หากทำเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลและรัฐบาลไม่ควรบริหารแบบลอยตัว เพราะกลายเป็นว่าน้ำคือผู้บริหารแผ่นดินในขณะนี้ไปแล้ว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมองความอยู่รอดของประชาชนและบ้านเมืองเหนือความอยู่รอดทางการเมืองของตัวเอง โดยต้องสั่งให้คนของตัวเองหยุดการใส่ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกให้สังคม เช่น กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.เพื่อไทย ออกมาระบุว่าเป็นโชคดีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ไม่เช่นนั้นจะมีขบวนการจ้องล้มรัฐบาลภายในเดือนธันวาคม แต่ไม่สามารถทำได้เพราะน้ำท่วมเสียก่อน
“ผมคิดว่าเป็นคำพูดที่เลือดเย็น ใจดำและโหดเหี้ยมกับคนไทยอย่างที่สุด ท่านพูดได้ยังไงครับว่าเป็นโชคดีที่น้ำท่วม ทำให้คนล้มรัฐบาลไม่ได้ มันแสดงชัดเจนว่าท่านเห็นความอยู่รอดของรัฐบาลสำคัญกว่าความทุกข์ยากของชาวบ้าน ถ้าท่านยังมีอำนาจอยู่ประชาชนจะจมน้ำตายช่างหัวมัน นี่คือผู้แทนปวงชนหรือครับ นายจตุพรอ้างถึงนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำว่า ท่านมอบให้กองทัพดู 5 จังหวัดที่ประสบอุทกภัยเพราะถ้าล้มเหลวจะได้เฉลี่ยความรับผิดชอบไป 50 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าท่านคิดทุกอย่างเป็นการเมืองหมด หวังโยนบาปให้กองทัพ เป็นที่มาของความล้มเหลวในทุกด้านของรัฐบาล ผมคิดว่าพี่น้องเสื้อแดงคงตาสว่างมากขึ้นไม่ใช่เฉพาะที่พะเยาเท่านั้น เพราะหลายพื้นที่พี่น้องเสื้อแดงน้ำท่วมแต่นายจตุพรกลับขึ้นรถแห่หาเสียง” นายชวนนท์กล่าว
นายชวนนท์ยังตอบโต้นายจตุพรที่กล่าวหาว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กักน้ำในเขื่อนภูมิพลมากจนเป็นสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ในขณะนี้ โดยยืนยันสถิติน้ำในเขื่อนซึ่งในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ระดับน้ำ 55 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้สูงผิดปกติ แต่เมื่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารประเทศระดับน้ำสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยไม่มีการพร่องน้ำอย่างที่ควรจะเป็น สิ่งนี้ต่างหากที่รัฐบาลต้องตอบว่าทำไมจึงไม่มีการบริหารจัดการน้ำจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่มีคนเสียชีวิตแล้วเกือบ 400 ราย ถ้าหากกล่าวหาว่าประชาธิปัตย์วางยา หมายถึงว่าประชาธิปัตย์แกล้งแพ้เลือกตั้งด้วยใช่หรือไม่
“นายจตุพรควรไปอ่านคำสัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะทราบว่าใครต้องรับผิดชอบกับความเสียหายของชาติในเวลานี้ ผมทบทวนคำพูดของนายกรัฐมนตรีให้ฟังก็ได้ครับ น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดว่า เราดูแลมา 3-4 เดือนแล้ว บางส่วนเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และเจอพายุ 4 ลูกติดต่อกัน โดยปกติแล้วเจอพายุลูกหนึ่งก็จะถูกระบายผ่านเขื่อน และมีช่วงพักในการระบายน้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่ เจอลูกหนึ่งก็เก็บไว้ๆ และเจออีกหลายลูก ก็ยังเก็บต่ออีก จึงกลายเป็นปริมาณน้ำที่สะสมมาถึง 4 ลูก ชัดเจนไหมครับว่ารัฐบาลไหนที่บริหารจัดการน้ำล้มเหลว เรื่องนี้อย่าโยนบาปให้อธิบดีกรมชลประทาน หรือหาแพะหลังสถานการณ์น้ำท่วม ควรสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจังว่าใครทำให้การบริหารน้ำล้มเหลว อย่าให้มีการกล่าวอ้างว่าไม่บริหารน้ำไปบางพื้นที่เพราะมีเศรษฐีตะวันออกไปซื้อที่นาไว้ หรือท่านไปตกลงลับๆ กับนิคมอุตสาหกรรม หรือมีนักการเมืองเอาปืนไปจ่อหัวเจ้าหน้าที่กรมชลประทานทำให้ระบายน้ำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องทำทันทีหลังน้ำลด และประธานสภาไม่ควรเบี้ยวการเปิดประชุมอีก ไม่ต้องกลัวประชาธิปัตย์ขยี้รัฐบาลเพราะประชาชนเตรียมขยี้รัฐบาลอยู่แล้ว หากไม่ยอมเปิดสภาหรือปิดสภานี้ก็คือเผด็จการใช้กลไกรัฐสภาพื่ดตัวเอง แต่ประชาธิปัตย์ใช้เวทีนี้เพื่อประชาชน ยืนยันสองวันนี้คือวันที่ 2 และ 3 นี้จัดหนักแน่นอน” นายชวนนท์กล่าว
ด้าน นายเจ๊ะอามิง โต๊ะตาหยง รมช.มหาดไทยเงาพรรคประชาธิปัตย์ นำสถิติระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลมาแสดงต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ห็นว่าระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลยุคที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริหารงานสูงถึง 9 พันล้านลูกกบาศก์เมตรในวันที่ 3 สิงหาคม แต่ปล่อยให้น้ำสูงถึง 1.3 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรจึงค่อยปล่อยน้ำออกมา แตกต่างจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่จะพร่องน้ำจากเขื่อนเมื่อระดับน้ำสูงไม่เกิน 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร แต่ทำไมรัฐบาลชุดนี้กับปล่อยให้ระดบน้ำสูง 1.3 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรค่อยปล่อยน้ำ ถือว่าเกินระดับที่เขื่อนจะรับไหว เท่ากับตั้งใจให้เกิดน้ำท่วมใช่หรือ ไม่ สิ่งที่พูดไม่ใช่การโยนความผิดไปมา เพราะข้อมูลนำมาจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้ที่ http//tiwrm.haii.or.th แต่ก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะปิดข้อมูลน้ำที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวหรือยัง