“ประชา” ยัน ศปภ.อยู่ที่เดิม-มั่วอีก ปิดไม่ปิดศูนย์พักพิงดอนเมือง

“ประชา” ยังฝืนไม่ย้าย ศปภ.แม้น้ำทะลัก ขณะการทำงานยังมั่วตามเคย บอกต้องย้ายผู้ประสบภัยจากอาคาร 2 สนามบินดอนเมืองทั้งหมดไปศูนย์พักพิงแห่งใหม่ที่ชลบุรี จนเกิดความโกลาหล “ปลอดประสพ”ต้องรีบชี้แจงว่าให้ย้ายโดยสมัครใจเพื่อลดความแออัดของผู้อพยพ จาก 4 พันกว่าคนเหลือ 1,500 คน

เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 25 ต.ค.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช้วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เปิดเผยว่า การอพยพผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนซึ่งมาอยู่ที่ศูนย์พักพิง อาคาร 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง กำลังจะมีการทยอยเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยทั้งหมดไปยังศูนย์พักพิงที่วิทยาลัยพลศึกษา จ.ชลบุรี ซึ่งได้เตรียมความพร้อมรองรับผู้อพยพอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงในการเคลื่อนย้ายทั้งหมด เมื่อถามว่าถึงความจำเป็นการย้ายที่ทำการ ศปภ.ไปยังสถานที่อื่น พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวขอพิจารณาก่อน โดยต้องมีการหารือกับฝ่ายกองทัพเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวที่บริเวณอาคาร 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเปิดเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว หลังจากที่มีการประกาศเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยที่อยู่ในศูนย์ออกทั้งหมด เจ้าหน้าที่จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้แจ้งให้ผู้อพยพที่พักพิงในศูนย์ฯ ลงทะเบียนเพื่อย้ายสถานที่พักพิงไปยังสถาบันการพลศึกษา จ.ชลบุรี ที่รองรับผู้อพยพได้ 4,000 คน เนื่องจากน้ำได้เข้าท่วมถนนวิภาวดี-รังสิต บริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง ซึ่งระดับมีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยถึงเวลา 16.00 น.ได้มีผู้สมัครใจลงทะเบียนแล้วจำนวน 520 คน จากทั้งหมด 4,131 คนที่ลงทะเบียนเข้าพักที่ศูนย์ โดยมีรถของการขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เตรียมไว้เพื่อไปส่งภายในวันนี้

นอกจากนี้ที่ จ.ชลบุรี ยังมีได้เตรียมสถานที่รองรับผู้อพยพเพิ่มอีก 7 แห่ง ประกอบด้วย ศูนย์ศึกษาพัฒนาชุมชน จ.ชลบุรี ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 2 มณฑลทหารบกที่ 14 ค่ายลูกเสือวชิราวุธ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และเทศบาลตำบลหนองไม้แดง รวมทั้งหมดสามารถรองรับผู้อพยพได้ 8,300 คน ทั้งนี้ ศปภ.ยังได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อย้ายไปยังแฟลตเคหะเศรษฐกิจ จ.สมุทรสาคร ที่รองรับได้ 2,500 คน และบ้านเอื้ออาทร อ.พระประโทน จ.นครปฐม ที่รองรับได้ 1,100 คน รวมทั้งยังเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อกลับภูมิลำเนาในจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบอีกด้วย

เมื่อสอบถามผู้อพยพที่สมัครใจย้ายไปอยู่ที่ศูนย์พักพิง จ.ชลบุรี ส่วนใหญ่ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ได้แจ้งสถานการณ์น้ำด้านหน้าท่าอากาศยานดอนเมืองโดยตลอด และเตือนว่าหากสถานการณ์หนักกว่านี้อาจถึงขั้นต้องตัดไฟฟ้า และน้ำประปาของศูนย์ ทำให้ไม่ลังเลที่จะลงทะเบียนขอย้ายไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ เนื่องจากไม่อยากเพิ่มภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ ขณะที่บางส่วนยังต้องอยู่ที่ศูนย์พักพิงดอนเมืองต่อไป เพราะยังคงต้องทำงานตามปกติ และไม่ได้หยุดงานในวันที่ 27-31 ต.ค.ตามที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ อาทิ พนักงาน ขสมก.เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ในช่วงเย็นระดับน้ำบนถนนวิภาวดี-รังสิต หน้าท่าอาศยานดอนเมือง มีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ได้นำหินคลุกมาทำเป็นคันกั้นน้ำ สูงประมาณ 1 เมตร แต่ได้มีน้ำซึมเข้ามาตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อมีรถขนาดใหญ่วิ่งผ่านน้ำก็เป็นคลื่นและทะลักเข้ามาเป็นระลอก ขณะเดียวกัน ประชาชนที่นำรถจอดไว้บริเวณชั้นล่างของอาคารจอดรถ สนามบินดอนเมือง ยังคงทยอยมานำรถออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

“ปลอด” บอกให้ย้ายโดยสมัครใจ

มีรายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 14.00 น.ได้เกิดความโกลาหลที่อาคารคลังสินค้า 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง หลังจากมีประกาศว่าจะมีการอพยพประชาชนออกจากศูนย์อพยพที่ดอนเมืองไปยังจังหวัดชลบุรี จึงทำให้ประชาชนที่อยู่ภายในศูนย์เกิดความแตกตื่นต่างพากันสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงความชัดเจน ซึ่งทันที่เกิดปัญหา นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เดินทางไปยังศูนย์อพยพเพื่อทำการเพื่อทำความเข้าใจโดยชี้แจงกับประชาชนว่า ไม่ได้เป็นการสั่งย้ายประชาชนทั้งหมดไปยัง จ.ชลบุรี เพียงแต่ขอให้เป็นความสมัครใจเพราะขณะนี้ศูนย์อพยพที่ดอนเมืองสามารถรองรับคนได้เพียงจำนวน 1,500 คนเท่านั้น แต่ขณะนี้พบว่ามีจำนวนผู้อพยพอยู่กว่า 4,200 คน ทำให้เกิดความแออัดและไม่สะดวกต่อการดูแล รวมถึงหวั่นทำให้เกิดปัญหาโรคระบาดได้

“เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาทางเราจะมีการสอบถามความสมัครใจในการอพยพออกจากสถานที่ไปยังศูนย์อื่นที่ทางรัฐได้เตรียมไว้ เช่น จ.ชลบุรี ทั้งนี้ จะสอบถามและเปิดลงทะเบียนใครจะเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดทางเรา และทางหน่วยงานยินดีที่จะอำนวยควมสะดวกจัดหารถบริการส่งให้ไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดเตรียมรถไว้แล้ว 100 คัน” นายปลอดประสพ กล่าว

ย้ายหน่วยแพทย์ฉุกเฉินไปเขาใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์น้ำล่าสุดบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งน้ำได้เข้าสู่พื้นที่รันเวย์บ้างแล้ว และมีแนวโน้มว่า ปริมาณน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น อาจจะส่งผลกระทบหลายหน่วยงานที่มาประจำการที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ล่าสุดหลายหน่วยงานได้มีการเตรียมความพร้อมหากมีความจำเป็นที่จะต้องย้ายหน่วยปฎิบัติงานไปยังพื้นที่อื่น หากสถานการณ์น้ำขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ศูนย์บูรณาการประสานการปฎิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินตอบโต้ภัยพิบัติแห่งชาติ หรือศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินดอนเมือง 84 ซึ่งประจำการอยู่ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ทางเข้ากองทัพอากาศกองบินที่ 6 ได้มีการพิจารณาที่จะย้ายศูนย์ปฏิบัติการไปอยู่ที่เขาใหญ่ เนื่องจากหากน้ำท่วมสนามบินจะส่งผลกระทบกับการจอดขึ้นลงของเฮลิคอร์ปเตอร์ที่ใช้ลำเลียงผู้ป่วย

ต่อมา เมื่อเวลา 17.45 น.ที่บริเวณอาคาร 2 ท่าอาศยานดอนเมือง ซึ่งเปิดเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ประสบอุทกภัย ได้มีการเริ่มขนย้ายผู้ที่อาศัยอยู่ในศูนย์ โดยใช้รถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มาเตรียมรอรับอยู่

นายนเรศ บุญเปี่ยม รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ขสมก.เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง ขสมก.ได้จัดรถเข้ามาเพื่อขนย้ายผู้ประสบภัยไปยังสถาบันพลศึกษา และศูนย์ศึกษาพัฒนาชุมชน ที่ จ.ชลบุรี ในเบื้องต้นมีผู้แจ้งความจำนงค์จำนวน 600 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก สตรี และคนชรา ต้องใช้รถเมล์ทั้งหมด 21 คัน สามารถโดยสารได้คันละประมาณ 31 คน พร้อมสัมภาระ โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ในการเดินทาง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ในการเดินทาง นอกจากนี้ ขสมก.ยังได้เตรียมรถเมล์ไว้อีกจำนวนมากเพื่อสำรองในการขนย้ายผู้ประสบภัยที่เหลือ

ต่อมา เมื่อเวลา 18.00 น.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ลงตรวจเยี่ยมประชาชนที่ศูนย์พักพิงดอนเมือง และดูการขนย้ายประชาชนออกจากศูนย์ พร้อมกับเปิดเผยว่า การอพยพครั้งนี้จะพยายามทยอยการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในศูนย์พักพิงประมาณ 4,000 คน ให้เหลือ 1,500 คน โดยได้มีการประสานขอรถเพิ่มเติม สำหรับวันนี้จะนำคนออกได้ประมาณ 950 คน ซึ่งการอพยพต้องเป็นความสมัครใจของผู้ที่ต้องการย้ายไปที่ จ.ชลบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตรวจพื้นที่ นายปลอดประสพ ได้ช่วยผู้อพยพขนย้ายสิ่งของขึ้นรถ ขสมก.ที่เตรียมไว้ แต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องระดับน้ำที่จะเข้ามาในพื้นที่ กทม.โดยระบุว่า “ผมไม่อยากพูด เพราะพูดแล้วมันแม่น”