ผ่าประเด็นร้อน
ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้ากำลังลุ้นกันอยู่ว่าปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลที่ไหลทะลักลงมาแบบหลากล้นทุ่ง ทำลายมาตามรายทาง ทั้งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) หาทางสกัดกั้น แต่ก็เอาไม่อยู่ สามารถทะลุทะลวงมาได้ทุกด่าน สร้างความเสียหายย่อยยับเป็นระยะ
นาทีนี้ป่วยการที่จะมาพูดถึงเรื่องความล้มเหลว ความอ่อนหัดของทั้งรัฐบาล และผู้นำคือ ยิ่งลักษณ์ แต่สิ่งที่จะต้องกล่าวถึงในที่นี้ก็คือการปัดแข้งปัดขากัน เพื่อแย่งชิงทางการเมือง โดยใช้ความเดือดร้อนของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ
ขณะเดียวกัน กำลังมีการฉวยโอกาสให้สถานการณ์น้ำท่วม และความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นเป็นเวทีสำหรับการหาคะแนนนิยมของฝ่ายตัวเองอย่างไร้ยางอายที่สุด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรับมือแก้ปัญหาน้ำท่วมคราวนี้ที่เกิดความเสียหายมากมายเหลือคณานับ ส่วนสำคัญเป็นเพราะรัฐบาลใช้การเมืองนำหน้าหรือแก้ปัญหาแบบ “การตลาด” แทนที่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เพราะคิดแต่เรื่องการเมืองหาคะแนนนิยมอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างมันจึงล้มเหลวอย่างที่เห็น จาก “บางระกำโมเดล” มาจนถึง “อุดรฯ โมเดล” ที่ฟังดูแล้วโก้เก๋ หรือแม้แต่คำว่า “บูรณาการทุกภาคส่วน” ฟังดูราวกับว่ามีภาวะผู้นำ มีความสามารถเลิศเลอยังไงไม่รู้
ที่ผ่านมาหากเป็นสถานการณ์ปกติก็คงจะ “ตบตา” ไปได้อีกครั้ง แต่คราวนี้เมื่อเจอ “ของจริง” เจอกับปริมาณน้ำที่ไหลบ่าลงมาแบบไม่บันยะบันยัง แบบไม่เกรงใจใครเสียด้วย ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ความจริงปรากฏออกมา และความโกลาหลก็เกิดขึ้นทั้งชาวบ้านและรัฐบาลทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือยังพยายามที่จะโยนความผิดให้กับคนอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเองอย่างหน้าด้านที่สุด จนไม่นึกว่าจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้ เพราะนอกจากไม่ยอมรับความล้มเหลวของตัวเองแล้ว ยังเที่ยวกล่าวโทษคนอื่นเพื่อบั่นทอนกำลังใจเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ช่วยกันยกกระสอบทราย ช่วยอพยพ นำข้าวของไปแจกชาวบ้านตลอดเวลาจนไม่ได้หลับได้นอน ขณะที่ตัวเองคนที่กำลังสำรอกน้ำลายสกปรกอยู่นั้นกลับมัวแต่หดหัวและเอาเท้าราน้ำ
ใช่แล้วกำลังพูดถึงบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงที่เวลานี้กำลังกลายพันธุ์จาก “ไพร่” มาเป็น “อำมาตย์ใหม่” อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น เพราะการกล่าวหาแบบไร้ความผิดชอบที่ว่า ข้าราชการและทหารจงใจทำให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมล้มเหลว ความหมายก็คือต้องการ “วางยา” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ของพวกหัวโจกคนเสื้อแดงที่เพิ่งออกมาล่าสุด คงจะรู้สึกสะอิดสะเอียน และคงนึกไม่ถึงว่าประเทศของเรายังมีคนประเภทนี้ ขณะเดียวกันมันก็เป็นคำตอบในตัวเองแล้วว่าความวุ่นวายที่ผ่านมา ก็เพราะบ้านเมืองมีคนประเภทนี้ปะปนอยู่มากจริงๆ
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้การแก้ปัญหายิ่งสร้างความสับสนมากขึ้นไปอีกก็คือ ภายในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เต็มไปด้วยผู้ที่ไม่เคยเชี่ยวชาญเรื่องน้ำแต่ชอบเสนอหน้าฉวยโอกาสเปิดตัวหาเสียง ดังจะเห็นได้จากกรณีของสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ จาตุรนต์ ฉายแสง เข้าไปร่วมประชุมในฐานะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ มีความเชี่ยวชาญเรื่องน้ำในประเภทไหนกันแน่ โดยเฉพาะ “สุดารัตน์” อาศัยตำแหน่งอะไร และมีความจำเป็นอะไรที่ต้องถึงกับขึ้นเฮลิคอปเตอร์ร่วมกับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการศูนย์ฯ เพราะไม่ได้สลักสำคัญอะไร นอกเสียจากเปลืองน้ำมัน เสียเวลาเปล่า
แต่ถ้าพิจารณาจากความเป็นจริงก็อาจพอเข้าใจได้ หากรับรู้ว่าเธอกำลังจะเตรียมตัวลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในสมัยหน้า หลังจากที่พ้นโทษแบนออกจากบ้านเลขที่ 111 ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า จึงพยายามแสดงบทบาทในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหา บริหารจัดการเป็นการฉวยโอกาสเปิดตัว
อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่งนี่คือการ “ตบหน้า” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะผู้นำประเทศและนายกรัฐมนตรีฉาดใหญ่ เพราะภาพที่สุดารัตน์กำลังแสดงออกมาให้เห็นก็คือต้องการโชว์ให้เห็นว่าเธอนี่แหละของจริง เป็นผู้นำหญิงตัวจริงดังที่เคยฝันเอาไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว
ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาในส่วนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนปัจจุบันที่กำลังรับมือกับปัญหาน้ำท่วมอย่างเต็มความสามารถอยู่ในเวลานี้ในมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบรักษาพื้นที่มันก็ย่อมมีเดิมพันสูง เพราะถ้าพลาดอนาคตทางการเมืองก็ต้องจบเห่ แต่ขณะเดียวกันถ้าเกิดผ่านพ้นไปและเกิดความเสียหายที่พอรับได้ก็คงไม่อยากให้คนอื่นเข้ามามั่วแบบตีกินหน้าด้านๆ เหมือนกัน
ดังนั้น นาทีนี้นอกจากต้องติดตามข่าวสาร ติดตามการไหลบ่าเข้ามาของปริมาณน้ำแบบนาทีต่อนาทีแล้ว ยังต้องรู้ทันนักการเมืองกระจอกไปในคราวเดียวกันด้วย จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อมักง่ายแบบนี้!!