วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ หนึ่งในรัฐมนตรีที่คนเห็นได้ชัดว่า ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา ก็คือ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์”รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย
เนื่องเพราะก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี มีมติมอบหมายให้เป็นเบอร์หนึ่งของรัฐบาลในการดูแลปัญหาน้ำท่วม เพราะเห็นว่าเป็นรมว.มหาดไทยแถมเป็นรองนายกฯเบอร์หนึ่งรองจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงน่าจะเป็นผู้นำในการบัญชาการแก้ปัญหาน้ำท่วมได้
แต่ก็เหลว เพราะยงยุทธทำงานภายใต้ระบบราชการทุกอย่าง ทำให้การรับมือน้ำท่วมของรัฐบาลล่าช้า ไม่รวดเร็วพอกับภัยธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงรุนแรง
อาการของ “ยงยุทธ” วันนี้ จึงน่าเป็นห่วงยิ่งว่า จะประคองตัวให้รอดหลังพฤษภาคม 2555 ไม่โดนปรับออกจากตำแหน่งได้หรือไม่ เพราะจบการวิกฤตรอบนี้ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสั่งการ และเจ้าของคณะรัฐมนตรีตัวจริง เพราะทุ่มทุนสร้างด้วยมือตนเองและเงินในกระเป๋าหมดไปเยอะ คงเห็นแล้วว่าครม.ยิ่งลักษณ์ อาจต้องผ่าตัดขนานใหญ่เพื่อต่ออายุยิ่งลักษณ์
ช่วงนี้ มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัว “ยงยุทธ”และทีมงานการเมืองที่เป็นหน้าห้องอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย ที่สังคมกำลังเอ็กซเรย์อย่างละเอียด
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เว็บไซด์ของประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์มติชนและอดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คือ www.prasong.com ได้มีการเสนอข่าวชิ้นหนึ่งโดยอ้างการรายงานข่าวของ สำนักข่าวอิศรา ที่อยู่ในการดูแลของสมาคมฯ ภายใต้พาดหัวข่าวชิ้นนี้ที่โชว์หราบนหน้าเว็บไซด์ว่า
ก๊วนกุนซือ มท.1 ซิวเงียบ“ทีวีมหาดไทย” 63 ล้าน หุ้นใหญ่กลุ่ม“เตชะณรงค์”
ตามด้วยโปรยข่าวว่า บริษัทกลุ่มคนใกล้ชิดไพวงษ์ เตชะณรงค์ ที่ปรึกษา ยงยุทธ วิชัยดิษฐรมว.มหาดไทย กวาดเรียบงบฯทำทีวีมหาดไทย 5 สัญญา 63 ล้าน หุ้นใหญ่ทำธุรกิจร่วมกับสงกรานต์ เตชะณรงค์ แถมออฟฟิศตั้งอยู่อาคารเดียวกัน
ตามด้วยการเกริ่นเนื้อข่าวว่า “การว่าจ้างเอกชนผลิตรายการทีวีเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมของกระทรวงมหาดไทย (ทีวีมหาดไทย) อาจมีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interests) เมื่อพบหลักฐานว่าเอกชนผู้รับสัญญาว่าจ้างมีผู้ถือหุ้นเกี่ยวพันคนใกล้ชิดที่ปรึกษานายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย”
ทั้งนี้ที่มาที่ไปของข่าวชิ้นนี้ แม้จะพบว่ากระบวนการทำสัญญาจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2553 เรื่อยจนมาถึงช่วงปี 2554 ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
ซึ่งเวลานั้น พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคฝ่ายค้าน และพรรคที่คุมกระทรวงมหาดไทยคือพรรคภูมิใจไทย
ทำให้หลายคนอาจแย้งว่า ไม่ได้เป็นสัญญาที่ทำขึ้นสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลและมียงยุทธ วิชัยดิษฐ์ เป็นรมว.มหาดไทย
แต่ประเด็นสำคัญของข่าวชิ้นนี้ ทางเว็บไซด์ของ”ประสงค์”ต้องการชี้ว่า กลุ่มคนที่บริหารงานบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับกระทรวงมหาดไทย เป็นเครือข่ายของที่ปรึกษายงยุทธ วิชัยดิษฐ์ คือ
ไพวงษ์ เตชะณรงค์
เจ้าของโบนันซ่า เขาใหญ่ และพ่อค้าที่แอบอิงอำนาจการเมืองทำธุรกิจมาโดยตลอด ไพวงษ์ที่เดินตามหลังพลเอกชวลิต ยงใจยุทธและเฉลิม อยู่บำรุง มาตลอดหลายสิบปีตั้งแต่พรรคความหวังใหม่ ไทยรักไทย จนถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลังตั้งครม.ยิ่งลักษณ์เสร็จสิ้นลง
ก็มีข่าวว่าหลายกลุ่มการเมืองในเพื่อไทยวิ่งเต้นเอาตำแหน่งการเมืองกันอย่างหนักทั้งที่ปรึกษา-เลขานุการรัฐมนตรี-กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
หนึ่งในนั้นมี “กลุ่มบ้านริมคลอง” ของเฉลิม อยู่บำรุง ที่มี ไพวงษ์ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ก็มีข่าวว่าพยายามล็อบบี้เอาตำแหน่งต่างๆในรัฐบาล จนต่อมา ยงยุทธ มท.1 ก็ชงเรื่องตั้ง ไพวงษ์เป็น ที่ปรึกษารมว.มหาดไทย ภายใต้การผลักดันของเฉลิม
เนื้อหาข่าวดังกล่าวที่ ประสงค์ดอทคอม รายงานไว้ อ่านดูแล้ว เป็นการรายงานข่าวโดยชี้ปมเอาไว้ว่าเรื่องนี้จะเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ หากว่าสัญญานี้ยังคงอยู่ ไม่มีการยกเลิก
เนื้อหาข่าวโดยละเอียด “ทีมข่าวการเมืองASTVผู้จัดการ”ขอยกมารายงานดังนี้
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2553 สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ว่าจ้างบริษัท เวิลด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด ดำเนินการประชาสัมพันธ์พร้อมกัน 2 สัญญา คือสัญญาที่ 179/2553 วงเงิน9,470,000 บาท และ สัญญาที่ 180/2553 วงเงิน 9,570,000 บาท
ต่อมาวันที่ 13 ม.ค. 2554 ได้ทำสัญญาจ้าง บริษัท เวิลด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ฯจ้างประชาสัมพันธ์และเผยแพร่องค์ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ผ่านสื่อโทรทัศน์ พร้อมกันอีก 3 ฉบับ ได้แก่
ฉบับเลขที่ 115/2554 วงเงินว่าจ้าง 14,902,499.97 บาท ฉบับเลขที่ 116/2554 วงเงินว่าจ้าง 14,910,000.03 บาท ฉบับที่3 117/2554 วงเงินว่าจ้าง 14,850,000 บาท รวม วงเงินทั้งสิ้น 5 ครั้ง
63,702,499 บาท
สำนักข่าวอิสรา ที่รายงานข่าวชิ้นนี้อ้างว่าจากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม็นท์ จดทะเบียนวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ทุน 2 ล้านบาท
ที่ตั้งเลขที่ 222/131-136,138 ซอยวิภาวดีรังสิต 17 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่นบันทึกภาพและเสียง บริการเช่าเวลาโฆษณาทางสัญญาณเคเบิ้ล
ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 เมษายน 2554 นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ 310,199 หุ้น หรือ 68.9% นางสาวโสภา ศรีนงนุช 108,000 หุ้น หรือ 24% นางสาวสุณิชา ศรีนงนุช 31,200 หุ้น หรือ 6.9%
ที่เหลือ นายประพจน์ แซ่ตั้ง นายวราวุธ ยันต์เจริญ นางสุธาสินี ขาวสำอางค์ คนละ 200 หุ้น นายสมคิด ลิ่มสกุล 1 หุ้น นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ เป็นกรรมการ
“ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ทำธุรกิจร่วมกับนายสงกรานต์ เตชะณรงค์ โฆษกกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที ) บุตรชายนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ ที่ปรึกษานายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย ชื่อ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์มีเดีย จำกัด
ทั้งนี้ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์มีเดีย จดทะเบียนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ทุน105 ล้านบาท ประกอบธุรกิจรับโฆษณา ที่ตั้งเลขที่ 222/140 อาคารชุดบ้านสวนจตุจักร ดี ชั้น 2 ซอยวิภาวดี 17 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ (อาคารเดียวกับ บริษัท เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม็นท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด )”
ข่าวชิ้นนี้ระบุด้วยว่า ผู้ถือหุ้นในช่วงแรก 3 คน คือ นายเผด็จ ภูรีปติภาณ (หรือพญาไม้ ที่เขียนคอลัมน์สังคมการเมืองหน้าสี่ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด สื่อขวัญใจคนเสื้อแดง) และยังมีไพวงษ์ เตชะณรงค์ และกฤษ ตรีวิศวเวทย์
ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหม่รวม 7 คน มีสงกรานต์ เตชะณรงค์, เผด็จ ภูรีปติภาณ, อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ร่วมถือหุ้นด้วย มีนางสาวณัฐธยาน์ อินทรสูตร เป็นกรรมการ
“กระทั่งวันที่ 30 เมษายน 2553 เพิ่มทุนเป็น 105 ล้านบาท นายเผด็จ ถอนหุ้นออกไป อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับสงกรานต์ เตชะณรงค์ จนถึงปัจจุบัน”
ด้วยสายสัมพันธ์ทางธุรกิจดังกล่าวเช่นนี้ จึงทำให้เว็บไซด์ www.prasong.com พาดหัวเอาไว้ว่า
“ก๊วนกุนซือ มท.1 ซิวเงียบ ทีวีมหาดไทย 63 ล้าน หุ้นใหญ่กลุ่ม เตชะณรงค์”
หลังมีการเสนอข่าวชิ้นนี้ได้ 3-4 วัน ยังไม่มีรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม และยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ จากทางกระทรวงมหาดไทย หรือตัวนายไพวงษ์ เตชะณรงค์
ส่วนหนึ่งก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้ข่าวน้ำท่วมเป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่มีใครให้ความสนใจกับข่าวสารอื่นๆ จึงทำให้สื่อยังไม่มีการตามต่อหรือขอคำอธิบายจากคนที่เกี่ยวข้องในข่าวดังกล่าว เพื่อทำให้หลายข้อสงสัยเกิดความกระจ่างชัด
เนื่องจากต้องยอมรับว่าระยะเวลาที่มีการทำสัญญาในช่วงปี 53 กับตอนนี้ปี 54 สัญญาอาจมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นแล้วก็ได้
สัญญาดังกล่าวยังคงอยู่หรือไม่ สิ้นสุดหรือยัง แล้วเป็นสัญญาที่มีระยะเวลาการว่าจ้างนานแค่ไหน ?
หรือคำถามที่ว่าถ้าสัญญาสิ้นสุดแล้ว ตอนนี้มีการว่าจ้างบริษัทใหม่เข้ามาทำแทนหรือไม่ หรือว่ามีการต่อสัญญากับบริษัท เวิลด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ต่อไป แล้วถ้าต่อสัญญา กับบริษัทนี้ต่อไป ทางกระทรวงมหาดไทยได้มีการต่อสัญญาไปเมื่อใด ทำสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์หรือทำในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ตัวไพวงษ์ได้รับแต่งตั้งจากครม.ให้เป็นที่ปรึกษารมว.มหาดไทยไปแล้ว ?
เพราะหากสัญญานี้สิ้นสุดไปแล้ว ไม่มีการต่อสัญญากับบริษัทเวิลด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ฯ ก็ถือว่าตัว ไพวงษ์ ที่มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารมว.มหาดไทย คงไม่มีปัญหาการถูกตรวจสอบ รวมถึงคงไม่ทำให้ ยงยุทธ ตกเป็นเป้าของฝ่ายค้านและสื่อด้วย
แต่หากกลับกลายเป็นว่า สัญญาดังกล่าวยังคงอยู่ หรือว่ามีการต่อสัญญาให้กับ บริษัทเวิลด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ฯในช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยคุมกระทรวงมหาดไทย แบบนี้ คงเป็นเรื่องแน่นอน กับสิ่งที่เรียกกันว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน
จึงควรที่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยรวมถึงตัวยงยุทธ และไพวงษ์ จะต้องชี้แจงข้อมูลทั้งหมดกับสาธารณชนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะหากมีการเข้าใจผิดอะไรเกิดขึ้น ตัวกระทรวง-ยงยุทธ-ไพวงษ์ก็จะได้ไม่ต้องเสีย
เพราะตอนนี้ ก็มีกระแสข่าวว่า กำลังจะมีการทำสัญญาจ้างบริษัทเอกชนมาทำทีวีมหาดไทยที่เป็นทีวีดาวเทียมกันอยู่ แต่เรื่องทั้งหมด มีการ ปิดเงียบกันหมด
แทบไม่ค่อยมีใครรู้ความเคลื่อนไหว ว่าบริษัทไหนมาเสนอตัวขอทำทีวีมหาดไทยซึ่งเป็นทีวีที่เกิดขึ้นสมัยภูมิใจไทยคุมกระทรวงมหาดไทย และพบว่าฝ่ายการเมืองในมหาดไทยยุคนี้ก็ต้องการทำทีวีมหาดไทยต่อไป ไม่มีการยกเลิกเพื่อหวังใช้ทีวีมหาดไทยเป็นเครื่องมือในการสื่อสารของตัวเอง
หรือว่า มีการว่าจ้างบริษัทเอกชนรายใหม่เข้ามาทำทีวีมหาดไทยไปแล้วและอยู่ระหว่างการเตรียมการกันอยู่
เรื่องทั้งหมดพบว่ามีคนรู้ความเคลื่อนไหวส่วนนี้กันอยู่ไม่กี่คน ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีกลุ่มสื่อในเครือข่ายนักการเมืองหลายกลุ่มที่อยู่ในซีกรัฐบาลต่างก็จ้องตาเป็นมันหวังคว้าสัญญาว่าจ้างทำทีวีมหาดไทยที่มีค่าสัญญาหลายสิบล้านบาท
ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครทราบ สัญญาเก่าทีวีมหาดไทยยังคงอยู่หรือไม่ -หมดสัญญาไปหรือยัง -แล้วใครที่ได้ทำทีวีมหาดไทยในเวลานี้
ก็อย่างที่บอกทุกอย่างถูกปิดเงียบ เสมือนกับไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ทั้งๆที่มีข่าวลือกันว่า ในความเงียบ กลับมีการช่วงชิงกันฝุ่นตลบ