“กรณ์” โพสต์เฟซบุ๊กฉะ “ธีระชัย” บิดเบือนข้อมูล แถมการกระทำขัดกับสิ่งที่พูด บอกเงินคงคลังเหลือเยอะ แต่กลับออกตั๋วเงินกู้ระยะสั้น เหน็บเป็นขุนคลังข้อมูลต้องแน่น พร้อมสอนไม่ควรใช้อารมณ์ ใช้กระทรวงการคลังมาเล่นการเมือง ป้ายสีคนอื่น เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อการค้า การลงทุน
นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยใช้หัวชื่อเรื่องว่า “แด่ รมว.คลัง ธีระชัย ด้วยความเป็นห่วง” โดยมีเนื้อหาระบุว่า ระยะนี้ดูเหมือนท่านรัฐมนตรีคลังออกอาการพอสมควร ตอนปลายอาทิตย์ก็ออกมาบอกให้ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ 'Sixth Sense' ในการกำหนดนโยบายการเงิน ส่วนเมื่อต้นอาทิตย์ก็ออกมาโวยวายว่าเงินคงคลังมีมากเกินไป ซํ้าโทษไทยเข้มแข็งของรัฐบาลที่แล้วอีกต่างหาก ผมเห็นบ้านเมืองเดือดร้อน ทั้งน้ำท่วม ทั้งข้าวของแพง ผมก็เลยตั้งใจว่าจะปล่อยๆ ไป และแกก็ช้ำยังไม่หาย จากรถคันแรก กับบ้านหลังแรกอยู่แล้ว แต่มีผู้คนข้องใจถามมาหลายคนก็เลยขอใช้เฟซบุ๊กอีกครั้งในการชี้ “ข้อเท็จจริง”
นายกรณ์ระบุในเฟซบุ๊กว่า รมว.คลัง ธีระชัยได้ให้ข่าวไว้ว่า...ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูง ของกระทรวงการคลังเป็นครั้งแรก (ทั้งที่ทำงานมาแล้ว 2 เดือน) โดยหารือเรื่อง “ฐานะการคลัง” รมว.คลัง บอกว่า การบริหารยังมีปัญหา เนื่องจาก เงินคงคลัง มียอดสะสมคงค้าง ในปีงบประมาณ 54 สูงถึง 5 แสนล้านบาท ซึ่ง “เยอะเกินไป” โดยให้เหตุผลไว้แต่เพียงว่า “มาจากการกู้เงินในโครงการไทยเข้มแข็ง” แล้วไม่ได้นำเงินบางส่วนไปใช้ จึงทำให้เงินค้างอยู่ ทำให้มีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ย ทำให้คนเข้าใจผิดว่า มีฐานะการคลังเข้มแข็ง (รมว.คลัง ต้องการจะบอกว่า ฐานะการเงินไทย ไม่เข้มแข็ง?)
โดย รมว.คลัง ได้เตือนเจ้าหน้าที่ว่า การบริหารอย่างนี้ถือเป็นจุดอ่อน ไม่ควรเหลือเกิน 2 แสนล้านบาท หากมีเงินเหลือมากๆ ก็ไม่ควรรีบกู้ เหลือคงค้างในมือมากไม่ดี แต่ถ้าเงินสดขาดมือไปก็อันตราย ทั้งที่ “ข้อเท็จจริง” ของที่มาใน จำนวน “เงินคงคลัง” ที่เกิน 5 แสนล้านบาท โดยประมาณนี้มาจาก
1.ส่วนที่เป็น “เงินคงคลัง” ที่เหมาะสมนั้นต้องมีอยู่แล้ว 150,000-200,000 ล้านบาท 2.ส่วนที่ยังเบิกจ่ายไม่หมดของโครงการไทยเข้มแข็ง นั้นเพียงแค่ 50,000 ล้านบาท (มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 80-90%) ไม่ได้มีการเบิกจ่ายไม่มีประสิทธิภาพ อย่างเช่นที่ รมว.คลังกล่าวโจมตี
3.เรื่องดีๆ โดยรัฐบาลก่อน ที่ รมว.คลังไม่ได้พูดเลย คือ ในจำนวนนี้มี “รายได้ของประเทศ” ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ สามารถเก็บได้เกินเป้า สูงมากถึง ประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งเข้ามาช่วงปลายๆ ปีงบประมาณ ก็อยู่ในเงินคงคลังก้อนนี้ด้วย และสุดท้ายที่น่าสนใจที่สุด 4.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยท่าน รมว.คลังเอง ได้ออก “ตั๋วเงินคงคลัง หรือกู้เงินระยะสั้น” จำนวน 125,000 ล้านบาท ในแค่ช่วงไม่กี่วันก่อน ปิดปีงบประมาณที่ผ่านมา คือ 30 กันยายน 2554
จุดนี้เอง เป็นที่ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งกันของข้อมูลที่ รมว.คลัง บอกว่า “เงินมีเยอะเกินไป” แต่ รมว.คลังก็ยังเลือกที่จะ “กู้” มาเพิ่มอีก ซึ่งในความเป็นจริง หากมองว่า เงินที่มีอยู่ เป็นเงินสดที่ไม่ได้รับการบริหารแล้วจริงก็ควรจะนำเงินส่วนนั้นมาใช้ แทนที่จะกู้ แบบนี้เรียกว่า “เข้าตัว” ครับ
ตัวเลขของ 4 ข้อนี้รวมกัน สมการ คือ 150,000 + 50,000 + 200,000 + 125,000 = 525,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนได้ 5 แสนล้านกว่าบาทที่ รมว.คลัง หาว่าเยอะ แล้วมาโทษแต่ “ไทยเข้มแข็ง” ถือว่าเป็นการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว คิดจะกล่าวหาทางการเมือง ก็ขอให้ข้อมูลแน่นกว่านี้หน่อยครับ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม กระทรวงหนึ่งที่ไม่ควรนำมาเล่นการเมือง ป้ายสีกันคือ “กระทรวงการคลัง” เพราะจะส่งผลกระทบ มีความอ่อนไหว ต่อการค้า การลงทุนในหลายๆ ด้าน การให้ข้อมูลเชิงใช้อารมณ์ เพื่อจงใจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นคำพูดของ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง”