ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนคงจะขบขันกับโฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ระบุว่ากำลังมีขบวนการล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เรียกว่า “แผน 9 ขั้น” อะไรนั่น
สำหรับ “ขบวนการอันร้ายกาจ” ดังกล่าวนั้นอ้างว่า มีทั้งกลุ่มการเมือง และกลุ่มที่สูญเสียอำนาจ รวมทั้งสื่อร่วมด้วยช่วยกันทำลาย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาทั้ง 9 ข้อ หรือ 9 ขั้นตามที่ทีมงานของโฆษกพรรคเพื่อไทยเค้นมาแจกแจง เช่น ให้สื่อฝ่ายตรงข้ามโจมตีนโยบายรัฐบาล ยุยงให้ข้าราชการโวยวายว่าถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม จัดตั้งให้ชาวบ้านมาร้องเรียนกล่าวโทษรัฐบาล มีการดิสเครดิตว่ารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ช่วยแต่ทักษิณ ชินวัตรคนเดียว โจมตีว่าสมาชิกพรรคเพื่อไทยเน้นในเรื่องไม่จงรักภักดี เป็นต้น
แม้ว่าตัวอย่างที่ยกมาอาจไม่ใช่นำมาแบบคำต่อคำจนครบถ้วน แต่ความหมายรับรองไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้แน่นอน ขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าแผน 9 ขั้นดังกล่าวที่นำเสนอโดย โฆษกพรรคเพื่อไทยได้มีการปรึกษาหารือกับใครบ้างหรือเปล่า เพราะเหมือนกับว่าเป็นการ “ประจาน” ตัวเองอย่างล่อนจ้อน
เริ่มจากเรื่องสื่อที่โจมตีก่อนก็ต้องบอกว่า มันก็มีทั้งสื่อรับใช้ สื่อสีแดงที่มีอยู่เกลื่อนเมืองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ก็สั่งให้เชียร์ให้เต็มเหนี่ยวไปเลยซี ไม่เห็นต้องไปหวั่นไหว ขณะที่ยังมีสื่ออีกประเภทหนึ่งที่เป็นพวกรู้ทัน หรืออาจมีพวกเชียร์ฝ่ายตรงข้ามปะปนอยู่ก็ว่ากันไปตามธรรมชาติ
ส่วนกรณีข้าราชการโวยวายร้องขอความเป็นธรรมนั้น หากนับเอาเรื่องที่ ถวิล เปลี่ยนศรี ถูกเด้งพ้นตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยโยก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ไปนั่งในตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงฯ แล้วดัน “พี่เมีย” ทักษิณ ชินวัตร คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สมใจ ซึ่งถ้าเป็นกรณีดังกล่าวที่ ถวิลไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการพลเรือน ก่อนที่จะฟ้องศาลปกครองตามขั้นตอน มันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง เพราะไม่ได้มีความผิด “ไม่ยอมเปลี่ยนสี”
กรณีมีการล็อบบี้รัฐบาลญี่ปุ่นให้ออกวีซ่าให้ ทักษิณ ชินวัตร มีความพยายามคืนพาสปอร์ตสีแดง ทั้งที่มีสถานะเป็นนักโทษ หลบหนีคดี ปฏิบัติ “สองมาตรฐาน” ยิ่งกว่ายุค “อำมาตย์” เสียอีก ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาแบบมีเลศนัยแอบแฝงในเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนด้านพลังงานในอ่าวไทย
ตอบแทนพวกพ้องที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงที่ไม่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมืองมากมาย มีทั้งตลก นักร้องมาเป็นที่ปรึกษา เป็นเลขาฯกินเงินเดือนเป็นหมื่นเป็นแสนกันสนุกสนาน ซึ่งความไม่เหมาะสม ไม่เหมาะกับตำแหน่งยังรวมไปถึงบรรดารัฐมนตรีสำคัญหลายคนอีกด้วย
ส่วนเรื่องที่บอกว่ามีการนำชาวบ้านมา “จัดตั้ง” ร้องเรียนเพื่อดีสเครดิตรัฐบาล นั้น หากเป็นเรื่องที่ชาวบ้านโวยวายในเรื่องการแก้ปัญหาเยียวยาน้ำท่วม เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ผู้ประกอบการใหญ่น้อยรับไม่ได้เพราะเกรงว่าธุรกิจจะเจ๊ง เพราะทำให้การแข่งขันกับต่างประเทศลดลง รวมไปถึงนโยบายประชานิยมที่ปล่อยออกมาสารพัดมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาเป็นรายวัน
ที่สำคัญราคาข้าวของแพงหูฉี่ แม้จะอ้างว่าเป็นช่วงน้ำท่วมพืชผักจมน้ำตาย มันก็มีส่วนจริง แต่ถามว่าเวลานี้ราคาข้าวบรรจุถุงน้ำหนัก 5 กิโลกรัมที่ปรับราคาสูงขึ้นไปถุงละ 5-10 บาท โดยอ้างเหตุผลจากนโยบายรับจำนำข้าวทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ราคาข้าวของขึ้นราคาไปดักรอ ค่าแรง 300 บาท เงินเดือน (ค่าครองชีพ) 15,000 บาทล่วงหน้าแล้ว ถามว่าโฆษกพรรคเพื่อไทยยอมรับในเรื่องแบบนี้หรือไม่
อ้อ ยังมีเรื่องไม่จงรักภักดี ที่บอกว่ากลั่นแกล้งนั้น ถามว่า หากต้องระบุให้เห็นตัวตนก็ต้องยกตัวอย่างกรณีของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่เป็นทั้งแกนนำคนเสื้อแดง และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่มีทรัพย์สมบัติตามที่แจ้งรายการกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กว่า 8 ล้านบาท มีรถหรูหราขับนั้น เคยกล่าวจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หากจำไม่ได้ก็ให้ย้อนไปถึงคำพูด “กระสุนพระราชทาน” บนเวทีชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2554 หรือก่อนหน้านี้หลายครั้งหลายคราวแต่ฉวัดเฉวียนอ้อมไปอ้อมมา
ที่สำคัญคนที่ถูกสงสัยมากที่สุดว่า ไม่จงรักภักดีก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ ส่วนพฤติกรรมแบบไหนบ้าง เชื่อว่าคนที่ติดตามมานานก็น่าจะรู้ดี ไม่ต้องมาสาธยายซ้ำ
ล่าสุดผลสำรวจความรู้สึกของชาวบ้าน ต่อการบริหารงานของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลความพอหล่นฮวบฮาบ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน ทั้งที่ก็เพิ่งบริหารมาเพียงแค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง นี่ยังไม่นับเรื่อง “เรือดันน้ำ” กับ “หญ้าแพรก” และข่าวว่าหลังสุดยังมีเรื่องชายแดน สระบุรี-สระแก้ว มาล้อเลียนอีก มันก็ยิ่งเป็นลบลงเรื่อยๆ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี ดีสเครดิตผู้นำประเทศที่มาตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่ละวันมีแต่เรื่องไม่เป็นมงคล ผลงานไม่ได้เรื่องแบบนี้ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดแผน 9 ขั้น หรือคิดปฏิวัติรัฐประหารให้เปลืองสมอง เพราะถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเชื่อว่าอีกไม่นานชาวบ้านคง “ตาสว่าง” มองเห็นเองว่าพวก “ดีแต่โม้” ปั่นราคาเกินจริง ควรได้รับบทเรียนแบบไหน!!