xs
xsm
sm
md
lg

“ทวีเกียรติ” ซัด “นิติราษฎร์” บังอาจลบคำพิพากษา ชี้ทำเพื่อ “ทักษิณ” ชัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ (แฟ้มภาพ)
อาจารย์นิติฯ มธ.เย้ย “วรเจตน์” กาลิเลโอหลงยุค ซัด“นิติราษฎร์”กุไฟแตกแยก ถามไม่รู้หรือรัฐประหาร 49 เหตุจากคนในรัฐบาลโกงสับบังอาจลบล้างคำพิพากษายิ่งกว่าคณะปฏิวัติ ฉะไม่รู้จริง ม.112 ชี้พวกอยากทำผิดเท่านั้นจึงอยากแก้ ยันทุกฝ่ายกลับสู่ฐานะเดิมแล้วยกเว้น “ทักษิณ” คนเดียว ลั่นประชามติก็ลบคำพิพากษาไม่ได้ เปรียบ “ฮิตเลอร์-เปแตง” มาจากการเลือกตั้งแต่ก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะ “วอชิงตัน” ทำการปฏิวัติแต่พาชาติมะกันเจริญ ยันสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่วิธีการได้อำนาจ

วันนี้ (2 ต.ค.) เว็บไซต์ประสงค์ดอตคอม ได้เผยแพร่บทความของนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชื่อว่า “คณะนิติราษฎร์..ผลไม้พิษของฮิตเล่อร์??” โดยมีใจความถึงแถลงการณ์ของคณะนิติราษฎร์ระบุว่า นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ เปรียบเสมือนกาลิเลโอหลงยุค คือแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์แต่ก็สร้างชื่อเสียง ส่วนแถลงการณ์นั้นก็ถูกจุดให้หลงประเด็นและคลาดเคลื่อนก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นมาสถานการณ์ที่เริ่มสู่ภาวะปรองดอง ตนจึงสงสัยว่า กลุ่มนิติราษฎร์ไปอยู่ที่ไหนมาจึงไม่ทราบว่าประเด็นที่ขัดแย้งทั้งหลายมีประเด็นเดียวเท่านั้น คือ คนในรัฐบาลที่ทุจริต แต่ยังมีอำนาจลอยนวล โดยไม่มีใครสามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ คือไปไม่ถึงศาล โดยเหตุที่ ถูกแทรกแซงในทุกๆ ทาง ขณะที่ฝ่ายบริหาร ตำรวจ อัยการ กกต.ถูกแทรกแซงตั้งแต่กระบวนการแต่งตั้ง ฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหลายก็พึ่งไม่ได้ จนไปถึงตุลาการเกือบทุกชั้นศาล ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม โดยมี ถุงขนมว่อนไปหมด ตรงนี้คณะนิติราษฎร์ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวหรืออย่างไร

นายทวีเกียรติกล่าวต่อว่า ส่วนข้อเสนอของกลุ่มที่ประกาศให้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ 50 ให้คำวินิจฉัยของศาลไม่เคยมีผลในทางกฏหมาย ให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาเป็นอันยุติลง และให้นำข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นไปจัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญนั้น ตนเองไม่เคยเห็นคณะปฏิวัติชุดไหนประกาศล้มล้างคำพิพากษาของศาล และยังคงเคารพคำพิพากษาของศาล แต่กลุ่มนิติราษฎร์ กลับบังอาจเสียยิ่งกว่าคณะปฏิวัติ และก็ยังไม่รู้หนทางที่จะนำไปสู่การบังคับใช้ ขณะที่ประเด็นการยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตนเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวยังไม่ได้ศึกษามาตราดังกล่าวอย่างจริงจัง ขณะที่กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอาทิ หญิงข่มขืนชาย มีโทษที่หนักหนาสาหัส น่าจะแก้ไขมากกว่าทางกลุ่มกลับไม่สนใจ อย่างไรก็ตาม ในทางจิตวิทยาของอาชญากรนั้น คนที่ต้องการยกเลิกกฎหมายใด แสดงว่าอยากทำผิดกฎหมายนั้น ซึ่งกฎหมายถึงแม้จะมีโทษแรงแค่ไหน หากผู้นั้นที่ไม่คิดจะทำผิดกฎหมายก็ย่อมไม่เดือดร้อน ตนจึงตั้งคำถามว่า กลุ่มนิติราษฎร์เดือดร้อนในกรณีดังกล่าวมากใช่หรือไม่

“มาตรา 112 เป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำ แสดงว่าคนที่ขอให้ยกเลิก อยากใช้คำหยาบ จาบจ้วง จริงๆ ผมแนะให้ว่า ถ้าคันปากอยากด่านักใคร แต่กลัวผิดกฎหมาย ก็ให้ด่าคนที่อยู่ในบ้านของกลุ่มนิติราษฎร์นั่นแหละ ด่าเข้าไปเถอะ กฎหมายไม่เอาโทษ เพราะคนที่อยู่นอกบ้านของคุณไม่มีใครเขานับถือคนในบ้านของพวกคุณ” นายทวีเกียรติกล่าว

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า กรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์ แนะนำให้เริ่มดำเนินคดีต่อบุคคลที่ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดไปแล้วใหม่ ตามกระบวนการกฎหมายตามปกตินั้น ตนเห็นว่า ขัดกับหลัก double jeopardy (บุคคลนึง จะโดนฟ้องข้อหาเดียวกันเกินกว่าหนึ่งครั้งไม่ได้) อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวน่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 กระบวนการทางกฎหมายตามปกติสามารถจัดการกับผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดนั้นๆ ได้หรือไม่ เพราะมีการแทรกแซงกระบวนการทางกฎหมายตามปกติ จนกระบวนการเหล่านั้นทำงานไม่ได้ ซึ่งขนาดปฏิวัติก็แล้ว ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดก็แล้ว ยังดำเนินการอะไรไม่ได้เลย ตนจึงอยากให้นายวรเจตน์ช่วยออกแถลงการณ์ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายตามปกติ ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะสร้างกรรมใหม่ให้กับประเทศชาติซ้ำขึ้นอีก

ส่วนที่คณะนิติราษฎร์ขอให้ทุกอย่างโมฆะ ทุกคนกลับสู่ฐานะเดิมนั้น นายทวีเกียรติกล่าวว่า ไม่รู้เลยหรือว่า แทบทุกคนเขากลับสู่ฐานะเดิมกันเกือบหมดแล้ว รัฐบาลพรรคไทยรักไทย เดิมก็ได้เป็นเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล สภาสูง สภาล่าง ก็ได้คนของเขาส่วนใหญ่เข้าไป พรรคประชาธิปัตย์ก็กลับเป็นฝ่ายค้านเหมือนเดิม และอีกไม่กี่เดือน บ้านเลขที่ 111 ก็กลับมา แถมยังมีตัวช่วยระดับไพร่ที่กลายเป็นอำมาตย์เพิ่มเป็นอันมาก จึงเห็นว่าไม่มีใครอยากย้อนหลังกลับไปหรอก แต่ก็เหลือคนสำคัญจริงๆ อีกคนเดียวเท่านั้น ที่ยังต้องรออีก 6 ปี จึงจะขาดอายุความ การออกแถลงการณ์คืนฐานะเดิม จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเพื่อคนเพียงคนเดียว ขณะที่การจะคืนพาสปอร์ตให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากกระทรวงการต่างประเทศจะออกให้คนไทย แม้จะต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกก็ไม่มีอะไรห้าม

ขณะที่การอ้างประชามติหรือประชาชนผู้มีอำนาจสูงสุดว่า จะทำอะไรก็ได้ นายทวีเกียรติ เห็นว่า เป็นการแสดงถึงความคิดที่ขัดต่อหลัก Rule of Law (หลักนิติธรรม) อย่างชัดแจ้งเรียกว่าสะดุดขาตัวเอง หลักนิติรัฐ ต้อง Rule by Law (การปกครองโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐ) ไม่ใช่ Rule by Numbers (การปกครองโดยใช้จำนวนเป็นเครื่องมือของรัฐ) ดังนั้น ต่อให้มีประชามติสัก 10 ล้านคนที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมแล้ว ก็ลบล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วของผู้พิพากษาเพียง 2-3 ท่านไม่ได้ ซึ่งแท้จริงหลักที่กลุ่มนิติราษฎร์เคารพคือให้ กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย นั่นเอง เช่นเดียวกับ การขออภัยโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 กฎหมายวางเงื่อนไขให้คนกลุ่มเดียวเป็นผู้ร้องขอ ถ้าไม่ใช่คนกลุ่มนี้ ต่อให้มี 10 ล้านเสียง ก็ไม่เข้าเงื่อนไข อภัยให้ไม่ได้

นายทวีเกียรติยังกล่าวถึงบทความของ ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยว่า ตนอ่านแล้วเหมือนกับคนที่เรียนไม่ได้เรียนอะไรจริงจังแต่อ้างว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้เรื่อง ฉันเก่งกว่า แน่กว่า โดยนายปิยบุตรอ้างเรื่องของรัฐบาลนายพลฟิลิป เปแตง ผู้นำฝรั่งเศสสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่เมืองวิชี ซึ่งในบทความนั้นนายปิยบุตร สารภาพออกมาเองว่า “รัฐสภาได้ตรารัฐบัญญัติ มอบอำนาจทุกประการให้แก่รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ภายใต้อำนาจของนายพลเปแตง” ขณะที่ นายวรเจตน์ ก็รู้ดีว่า นายพลอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีของเยอรมัน ก็ได้อำนาจมาตามระบบการเลือกตั้งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผ่านรัฐสภาที่เลือกตั้งโดยประชาชน ซึ่งก็ได้มอบอำนาจเด็ดขาดให้กับเขา ถูกต้องตรงตามหลักนิติรัฐ แต่ทั้ง 2 คงลืมไปว่า ทั้ง นายพลเปแตง และนายพลฮิตเลอร์ ล้วนได้อำนาจมาโดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ แต่กลับทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และหากฉุกคิดเสียหน่อยก็จะพบว่ารัฐบาลเลือกตั้งโดยชอบของไทยก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ก็มีข่าวการฆ่าตัดตอนปราบปรามยาเสพติด แต่พอหมดรัฐบาลชุดนั้นการฆ่าตัดตอนก็หมดลง

นายทวีเกียรติกล่าวต่อว่า ขณะที่ นายพลจอร์จ วอชิงตัน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ก็ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติ โดยล้มอำนาจการปกครองของอังกฤษ สร้างชาติบ้านเมืองของตนจนรุ่งเรือง ทั้งนี้สาระสำคัญของประชาธิปไตยจึงมิใช่อยู่ที่รัฐประหารหรือการเลือกตั้งตามกฎหมาย มิใช่หรือ ซึ่งผู้ที่ยกเรื่องของ นายพลฮิตเลอร์ และ นายพลเปแตง มานี้จึงอาจเปรียบได้ว่า คนหนึ่งเรียนจบแต่ทางโลก แต่ไม่เจนจบทางธรรมะและวัฒนธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ทางโลกยังไม่เจนจบ แต่เข้าใจว่า ตนบรรลุธรรมแล้ว ส่วนการที่กลุ่มนิติราษฎร์กล่าวว่า ผลพวงของการปฏิวัติ 19 กันยา เปรียบเสมือนผลไม้จากต้นไม้ที่เป็นพิษนั้น ก็น่าคิดเหมือนกันว่า อยู่ ๆ ต้นไม้พิษเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้พิษจะเติบโตเป็นต้นไม้ที่ดีไม่ได้เลยหรือ แต่ในทางกลับกันผู้ที่ลงชื่อท้ายแถลงการณ์ได้อยู่ ได้เรียน ได้ทุนหลวง ทุนรัฐบาล เอาเวลาราชการไปใช้ ให้เพื่อนร่วมคณะแบกรับภาระงานไว้ มีโอกาสมากกว่าคนไทยอีกหลายสิบล้าน โดยหวังจะให้ท่านทำชาติให้น่าชื่นใจ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีอาจมีส่วนทำให้คนเหล่านั้น กลับกลายเป็นต้นไม้พิษพร้อมที่จะผลิตผลไม้ที่มีพิษ จนแพร่หลายต่อไปในภายภาคหน้าก็ได้

***************************

คณะนิติราษฎร์...ผลไม้พิษของฮิตเล่อร์??

มาช้าดีกว่าไม่มาเลย….ผมเคยกล่าวไว้ในบทความเรื่อง “หลักนิติรัฐกับคนเนรคุณ” มาแล้วว่า อาจารย์วรเจตน์เปรียบเสมือน “กาลิเลโอ” หลงยุค คือแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับพวกของเขาให้เป็น “some body” ได้ในสังคม… ดีสุดขั้ว ชั่วสุดโต่ง… ดังพอกัน ใครอยู่ฝั่งไหน ตัดสินกันด้วยเส้นด้ายเท่านั้น

แถลงการณ์ของคณะนิติราษฎร์ออกมาในขณะที่คนทั้งหลายกำลังเริ่มจะปรองดองกันแล้ว กลับถูกจุดประเด็นให้เห็นคลาดเคลื่อนหลงประเด็นและกลับเกิดแตกแยกกันขึ้นมาอีก กล่าวคือ

1.จากคำขึ้นต้นของแถลงการณ์ ฯ กล่าวว่า “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทำลายนิติรัฐ ประชาธิปไตย และยังเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้…..”

ผมว่า ก่อน 19 กันยา กลุ่มนิติราษฎร์ ไปอยู่ที่ไหนกัน ถึงไม่รู้ว่า ความขัดแย้งมีมาก่อน 19 กันยายน 2549 และก่อน 14 ตุลาคม 2516 ด้วยซ้ำ และประเด็นที่ขัดแย้งทั้งหลายมีประเด็นเดียวเท่านั้น คือ คนในรัฐบาลที่ทุจริต หรือสงสัยว่าทุจริต หรือแม้พิสูจน์แล้วว่าทุจริต แต่ยังมีอำนาจลอยนวล ลอยหน้าอยู่ได้ โดยไม่มีใครสามารถนำพวกเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ คือไปไม่ถึงศาล โดยเหตุที่ ถูกแทรกแซงในทุกๆ ทาง

ฝ่ายบริหาร ตำรวจ อัยการ กกต.ถูกแทรกแซงตั้งแต่กระบวนการแต่งตั้ง ฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหลายก็พึ่งไม่ได้ ลามปามไปถึงตุลาการเกือบทุกชั้นศาล ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม “ถุงขนม” ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ว่อนไปหมด คณะวรเจตน์ ไม่รับรู้ ไม่รับเห็นเลยหรือไร ?

2.ข้อเสนอของกลุ่มดังกล่าว ที่ว่า

“๑. ประกาศให้รัฐประหาร 19 กันยายน 2549…..

๒. ประกาศให้รัฐธรรมนูญ ……. เสียเปล่า ……

๓. ประกาศให้คำวินิจฉัยของตุลาการ รัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาล …. และคำพิพากษาของศาลฎีกา …. เสียเปล่า… และไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย

๔. ประกาศให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนการพิจารณา ….. เป็นอันยุติลง

๕. ประกาศความเสียเปล่าของบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษา….

๖. ….ให้นำข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นไปจัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ….”

ผมก็ผ่านก็เห็นการปฏิวัติมาหลายครั้ง ผมยังไม่เคยเห็นคณะปฏิวัติชุดไหนประกาศล้มล้างคำพิพากษาของศาล อย่าว่าแต่ศาลฎีกาเลย ศาลชั้นต้นก็ไม่เคย อย่างน้อยคณะปฏิวัติทุกคณะก็ยังคงเคารพคำพิพากษาของศาล

กลุ่มนิติราษฎร์ บังอาจเสียยิ่งกว่าคณะปฏิวัติเสียอีก !!

นอกจากนี้ ยังไม่รู้ว่าโดยกระบวนการทางกฎหมายที่ผู้ลงชื่อข้างท้าย(ซึ่งยังหนุ่มยังสาวกันทั้งนั้น)ได้เรียนมา และสอนอยู่น่ะ จะทำผ่านทางไหน ช่วยบอกนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาหรือกองเชียร์ของท่านที เดี๋ยวเขาจะสงสัยว่า พวกท่านเหล่านั้นจบมาจากไหนและนำหลักกฎหมายอะไรมาสอน รู้จริงหรือไม่ หรือจะเอาความคิดผิด ๆ ถูก ๆ ของพวกท่านมาครอบงำ เขา ?

3. ประเด็นต่อมา เรื่องปอ.มาตรา 112 กลุ่มนี้ก็กล่าวว่า “….. มาตรา 112 มีปัญหาทั้งในแง่ตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้ …. บุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรปฏิเสธว่า … มาตรา 112 ไม่มีปัญหา …. ทั้งที่ไม่มีการศึกษาและอภิปรายในวงกว้างอย่างจริงจัง” นั้น ผมว่า มีก็แต่ 5 - 6 คนที่ลงชื่อข้างท้ายนี่แหละที่ไม่ได้ศึกษา ปอ.มาตรา 112 อย่างจริงจัง คนอื่นเขารู้ดีกันแล้วทั้งนั้น

ก็พวกท่านจะมีความรู้เรื่องได้อย่างไรเล่า เวลาพวกท่านจัดอภิปรายเรื่อง มาตรา 112 ไม่เคยเชิญเอานักกฎหมายอาญาที่เขารู้จริง (เช่นผมเองเป็นต้น !!)มาบรรยายให้ความรู้แก่พวกท่านกันเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่คณะเดียวกัน (แต่ไม่ใช่คณะนิติราษฎร์)

อีกประการหนึ่ง กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมก็ตั้งมากมาย เช่นหญิงข่มขืนชาย มีโทษที่หนักหนาสาหัส น่าจะแก้ไขมากกว่าตั้งเยอะ กลับไม่สนใจ!!

ในทางจิตวิทยาของอาชญากร นั้น คนที่ต้องการยกเลิกกฎหมายใด แสดงว่าเขาอยากทำผิดกฎหมายนั้น เช่น คนที่ต้องการยกเลิกกฎหมายฆ่าคน แสดงว่า เขาอยากฆ่าคนโดยไม่มีกฎหมายห้าม

คนที่อยากได้ทรัพย์บุคคลอื่น ก็คงต้องการให้ยกเลิกกฎหมายลักทรัพย์

ผมเองยังอยกให้ยกเลิกกฎหมาย “ข่มขืนกระทำชำเรา” เลย !!!

อย่างไรก็ตาม กฎหมายถึงจะมีโทษแรงแค่ไหน

ผู้ที่ไม่คิดจะทำผิดกฎหมาย ย่อมไม่เดือดร้อน

พวกท่านทั้ง 7 เดือดร้อนมากใช่ไหม ?

มาตรา 112 เป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำ แสดงว่าคนที่ขอให้ยกเลิก อยากใช้คำหยาบ จาบจ้วง จริง ๆ ผมแนะให้ว่า ถ้าคันปากอยากด่านักใคร แต่กลัวผิดกฎหมาย ก็ให้ด่าคนที่อยู่ในบ้านของกลุ่มนิติราษฎร์นั่นแหละ ด่าเข้าไปเถอะ กฎหมายไม่เอาโทษ เพราะคนที่อยู่นอกบ้านของคุณไม่มีใครเขานับถือคนในบ้านของพวกคุณ

หากด่าตัวเองได้ยิ่งดีใหญ่ ไม่ผิดกฎหมาย

และจะให้ผมช่วยด่าหรือช่วยคิดหาคำด่าให้ก็ยินดี

4. กลุ่มนิติราษฎร์ แนะให้เริ่มดำเนินคดีกับบุคคลที่ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดไปแล้วใหม่ ตามกระบวนการกฎหมายตามปกตินั้น ขัดชัดแจ้งกับหลัก double jeopardy ถ้าไม่รู้ว่าหลักนี้ว่าอย่างไร ก็ไม่คู่ควรที่จะสอนนักศึกษากฎหมายในธรรมศาสตร์

อย่างไรก็ตามบุคคลที่มีชื่อท้ายแถลงการณ์ดังกล่าว น่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 “กระบวนการทางกฎหมายตามปกติ” สามารถจัดการกับผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดนั้น ๆ ได้หรือไม่ เพราะมีการแทรกแซง “กระบวนการทางกฎหมายตามปกติ” จนกระบวนการเหล่านั้นทำงานไม่ได้

ขนาดปฏิวัติก็แล้ว ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดก็แล้ว ยังดำเนินการอะไรไม่ได้เลย (ต้องอ่าน คำสัมภาษณ์ของอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ) ท่าน “กาลิเลโอ” ช่วยออกแถลงการณ์ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายตามปกติให้ด้วยเถิด ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะสร้าง “กรรมใหม่” ให้กับประเทศชาติซ้ำขึ้นอีก

5. กลุ่มบุคคลทั้ง 7 ที่ลงชื่อท้ายแถลงการณ์ ขอให้ทุกอย่างโมฆะ ทุกคนกลับสู่ฐานะเดิม โดยที่ตนไม่รู้เลยหรือว่า แทบทุกคนเขากลับสู่ฐานะเดิมกันเกือบหมดแล้ว

รัฐบาล “พรรคไทยรักไทย เดิม” ก็ได้ เป็นเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล

สภาสูง สภาล่าง ก็ได้ คนของเขาส่วนใหญ่เข้าไป

พรรคประชาธิปัตย์ ก็กลับ เป็นฝ่ายค้าน เหมือนเดิม

อีกไม่กี่เดือน บ้านเลขที่ 111 ก็กลับมาแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม

แถมยังมีตัวช่วย “ระดับไพร่” ที่กลายเป็น “อำมาตย์” เพิ่มเป็นอันมาก ไม่มีใครเขาอยากย้อนหลังกลับไปหรอก ก็ในเมื่อคนอื่นเขาเกือบจะคืนสู่ฐานะเดิมกันเกือบหมดแล้ว

เหลือคนสำคัญจริง ๆ อีกคนเดียวเท่านั้น ที่ยังต้องรออีก 6 ปี (จึงจะขาดอายุความ) การออกแถลงการณ์คืนฐานะเดิม จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเพื่อคนคนนั้นเพียงคนเดียว

อนึ่ง การจะคืน Passport ให้แก่ท่านอดีตนายก ทักษิณ ก็เช่นกัน ไม่ต้องใช้ความคิดระดับ รมต.ต่างประเทศ หรอก แค่ passport ธรรมดา ๆ เนี่ย กระทรวงการต่างประเทศจะออกให้คนไทย ใครก็ตามที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ได้หรือไม่ ถ้าออกให้ได้ก็ไม่มีอะไรห้ามไม่ให้ออก passport ให้ท่านอดีตนายกหรอกไม่ว่าจะเป็นสีแดงหรือสีใดก็ตาม

6. การอ้าง “ประชามติ” หรือ “ประชาชน” ผู้มีอำนาจสูงสุดว่า จะทำอะไรก็ได้ แสดงถึงความคิดที่ขัดต่อหลัก Rule of Law อย่างชัดแจ้ง(อีกแล้วครับท่าน) เรียกว่า “สะดุดขาตัวเอง” หลักนิติรัฐ ต้อง Rule by Law ไม่ใช่ Rule by Numbers

ดังนั้น ต่อให้มีประชามติสัก 10 ล้านคนที่ไม่ชอบด้วย Rule of Law แล้ว ก็ลบล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วของผู้พิพากษาเพียง 2-3 ท่านไม่ได้ (ต้องอ่านบทความของอาจารย์กิตติศักดิ์ ปกติ) ความเห็นของท่านเจ็ดเซียนจึงกลับแสดงว่า

แท้จริงหลักที่ท่านเคารพคือให้ “กฎหมู่อยู่หนือกฎหมาย” นั่นเอง(ช่างสอดประสานกับเหตุการณืที่ผ่านมาเสียจริง จนทำให้พวกท่านอยากย้อนเวลากลับไป … ใช่ไหมล่ะ )

ทำนองเดียวกันกับ การขออภัยโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 กฎหมายวางเงื่อนไขให้คนกลุ่มเดียวเป็นผู้ร้องขอ ถ้าไม่ใช่คนกลุ่มนี้ ต่อให้มี 10 ล้านเสียง ก็ไม่เข้าเงื่อนไข อภัยให้ไม่ได้

ขนาด เจ้าตัว หรือ พ่อ แม่ ลูก เมีย เขายังไม่ขอ แล้ว 2 -3 ล้าน คน เป็นใคร ทำไมถึงไปขอแทนเขา(น่าจะปรับตนให้เข้ากับกฎหมาย ไม่ใช่ใช้จำนวน 2-3 ล้านคนมาปล้นหลักกฎหมาย)

7. บทความของ ปิยบุตร แสงกนกกุล ผมอ่านแล้วเหมือนกับคนที่เรียนไม่ได้เรียนอะไรจริงจังแต่อ้างว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้เรื่อง ฉันเก่งกว่า แน่กว่า รู้ดีกว่า ปิยบุตรอ้างเรื่องของรัฐบาล Pétain ที่ Vichy ในบทความนั้นเขาสารภาพออกมาเองว่า “รัฐสภาได้ตรารัฐบัญญัติ มอบอำนาจทุกประการให้แก่รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ภายใต้อำนาจของนายพล Pétain…”

ขณะที่ ท่าน “กาลิเลโอ” ของผม ก็รู้ดีว่า ท่าน Hitler ก็ได้อำนาจมาตามระบบการเลือกตั้งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผ่านรัฐสภาที่เลือกตั้งโดยประชาชน ซึ่งก็ได้มอบอำนาจเด็ดขาดให้กับเขา ถูกต้องตรงตามหลัก “นิติรัฐ” (ตามตัวอักษร) ที่ท่านทั้งสองบูชาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

ปิยบุตร กับ “กาลิเลโอ” ของผม คงยกตัวอย่างนี้โดยลืมไปกระมังว่า ทั้ง Pétain และ Hitler ล้วนได้อำนาจมา “โดยชอบด้วยกฎหมาย” ทุกประการ แต่กลับทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งผู้ร่วมลงนามอีก 5 คน ที่แฝงกายในธรรมศาสตร์ (ที่ใช้ว่า “แฝงกาย” เพราะไม่ค่อยได้เห็นหลายคนมาทำงานให้คณะสักเท่าไหร่) ประกาศสนับสนุนอย่างหัวปักหัวปำในขณะนี้

หากฉุกคิดเสียหน่อยก็จะพบว่ารัฐบาลเลือกตั้งโดยชอบของไทยก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยา มีข่าวการ “ฆ่าตัดตอน” (ซึ่งพอหมดรัฐบาลชุดนั้น การ “การฆ่าตัดตอน”ก็หมดลง)

ขณะที่ นายพล George Washington ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติ ล้มอำนาจการปกครองของอังกฤษ สร้างชาติบ้านเมืองของตนจนรุ่งเรือง สาระสำคัญของประชาธิปไตยจึงมิใช่อยู่ที่รัฐประหารหรือการเลือกตั้งตามกฎหมาย มิใช่หรือ ?

ผู้ที่ยกเรื่องของ Hitler และ Pétain มานี้จึงอาจเปรียบได้ว่า คนหนึ่งเรียนจบแต่ทางโลก แต่ไม่เจนจบทางธรรมะและวัฒนธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ทางโลกยังไม่(เจน)จบ แต่เข้าใจว่า ตนบรรลุธรรมแล้ว

ปัญหาคับข้องใจจึงตกแก่เรา ชาวคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เราก็ต้องเมตตาให้ที่คนเหล่านี้แอบแฝงอยู่ … ด้วยเห็นว่าถ้าไม่มีเรา เขาก็จะไม่มีที่ยืน

สรุป

การที่กลุ่มผู้ออกแถลงการณ์ทั้ง 7 กล่าวว่า ผลพวงของการปฏิวัติ 19 กันยา เปรียบเสมือนผลไม้จากต้นไม้ที่เป็นพิษ (Fruit of the Poisonous Tree) นั้น ก็น่าคิดเหมือนกันว่า อยู่ ๆ “ต้นไม้พิษ” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้พิษจะเติบโตเป็นต้นไม้ที่ดีไม่ได้เลยเชียวหรือ

ในทางกลับกัน … ผู้ที่ลงชื่อท้ายแถลงการณ์ก็คงได้เกิด ได้กิน ได้อยู่ ได้เรียน ผ่านทั้ง รัฐบาลเลือกตั้ง และรัฐบาลปฏิวัติ รัฐประหาร ได้ทุนหลวง ทุนรัฐบาล เอาเวลาราชการไปใช้ ให้เพื่อนร่วมคณะแบกรับภาระงานไว้ มีโอกาสมากกว่าคนไทยอีกหลายสิบล้านที่ก็ร่วมแบกภาระให้ท่านเหมือนกัน โดยหวังจะให้ท่านทำชาติให้น่าชื่นใจ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีอาจมีส่วนทำให้ท่านเหล่านั้น กลับกลายเป็นต้นไม้พิษ(Poisonous Tree) พร้อมที่จะผลิตผลไม้ที่มีพิษ จนแพร่หลายต่อไปในภายภาคหน้าก็ได้…

แต่คงไม่น่า!!!..(.หรือก็ไม่แน่…..หรอกนะ)

กาลิโอ…แล้วพบกันใหม่ แต่ผมจะไม่ใช่คนเริ่มต้นแน่
กำลังโหลดความคิดเห็น