รองโฆษกเพื่อไทย อ้างผลสอบ กมธ.มั่นคง สภา ยันซื้อกล้องชายแดนใต้สมัย “สุรยุทธ์” ส่อโกง แฉ “พิศิษฐ์” ลงนามชี้จัดซื้อมิชอบ ชงฟัน บ.ผลิตกล้อง-อดีตปลัด มท.พร้อมพวกเพียบ
วันนี้ (27 ก.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีโครงการจดซื้อกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการตอบโต้ ว่า จากรายงานของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายเจะอาหมิง โต๊ะตาหยง เป็นประธาน ได้พิจารณาศึกษาและติดตามโครงการดังกล่าวพร้อมได้ลงไปศึกษาข้อเท็จจริงในพื้นที่ซึ่งได้สรุปว่าโครงการนี้ได้มีการริเริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ นอกจากนี้ ผลการศึกษาคณะกรรมาธิการยังได้มีข้อเสนอแนะขอให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากโครงการนี้ส่อจะมีการทุจริต มีแนวโน้มเอื้อประโยชน์กับบริษัทคู่สัญญารายเดิม
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ล่าสุด ได้มีเอกสาร ลับมาก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ของ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สตง.) ที่ลงนามโดย นายพิศิษฐ์ ลีลาวัชรโรภาส รองผู้ว่าการตรวจการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องโครงการจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกำหนดที่ว่าผู้ผลิตจะต้องผ่าน ISO 9001 และผลิตใยแก้วนำแสงไม่น้อยกว่า 15 ปี ถือว่าเป็นการกีดกันผู้ผลิตวัสดุในประเทศไทย และพัสดุที่ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การดำเนินการในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ส่วนการปรับเปลี่ยนแก้ไขรายการก่อสร้างอาคาร โดยลดขนาดอาคารที่ก่อสร้างลงถือเป็นการลดเนื้องานลงจากเดิม และมีผลกระทบต่อราคามาตรฐานที่ได้รับอนุมัติ ดังนั้นการที่แก้ไข TOR เรื่องนี้โดยไม่ได้พิจารณาเรื่องราคา ไม่มีรายงานว่ามีการคิดคำนวณ ว่าต้องปรับลดราคาอย่างไร หรือปรับเปลี่ยนเนื้องานอย่างไร จึงไม่ใช่การแก้ไขปรับปรุงเงื่อนไขจัดซื้อที่เหมาะสม กรณีนี้จึงไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติจาก กวพ.อ.และยังเป็นเหตุให้ทางการเสียผลประโยชน์ จึงเป็นการดำเนินการโดยมิชอบ ขณะที่การขัดซื้อโดยวิธีพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ปรับลดราคาจำนวนสินค้า และรายการก่อสร้างลง คิดเป็นเงินจำนวน 87,548,000 บาท แต่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ได้ปรับลดวงเงินการจัดซื้อลง และกลับทำแผนการดำเนินการจัดซื้อและราคามาตรฐานใหม่ภายหลังได้ผู้ชนะการเสนอราคา โดยนำยอดเงินที่ควรปรับลดไปเพิ่มในรายการระบบแผนที่แสดงตำแหน่งสูงขึ้น 10,000,000 บาท และการปรับเพิ่มอะไหล่สำรอง ส่วน ACTIVE จากเดิมสูงขึ้นถึง 2,264 เปอร์เซ็นต์ และส่วน Passive สูงขึ้นถึง 3,897 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 77,548,000 บาท โดยยังคงอัตราอะไหล่สำรองไว้ที่ร้อยละ 10 และร้อยละ 5 ตามลำดับเดิม จึงเป็นการดำเนินการโดยมิชอบทำให้ราชการเสียหายเป็นเงิน 87,548,000 บาท
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า โดยผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พิจารณาแล้วเห็นชอบกับการดำเนินการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีการกำหนดสายใยแก้วนำแสง ว่า ผู้ผลิตจะต้องผ่านมาตรฐาน ISO 9001 และผลิตสายใยแก้วนำแสง ไม่น้อยกว่า 15 ปี เห็นควรดำเนินการทางอาญาและทางวินัย กับ นายพงศธร สัจจชลพันธ์, พ.อ.ชาญวิทย์ ภัสสรโยธิน,นายเสฎฐสิร สินธุวงศานนท์, นายชัยวัฒน์ วงษ์วสานิช และ นายสมนึก สองเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และความผิดต่อหน้าที่ ขณะเดียวกันกรณีกระทำการแก้ไข ทีโออาร์โดยปรับลดรายการก่อสร้างอาคาร และการปรับลดรายการ ราคาอุปกรณ์ติดตั้ง แต่คงราคามาตรฐานรวมไว้ตามเดิม
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีว่า นอกจากนี้ เห็นควรดำเนินการทางอาญา แพ่ง และวินัย แก่ นายพงศ์โพยม วาศภูติ, นายประจักษ์ สุวรรณภักดี, นายพงศธร สัจจชลพันธ์, นายชัยวัฒน์ วงษ์วานิช, นายสมนึก สองเมือง, พ.อ.ประจิตร อ่ำพันธ์ และ นายกฤษฎิ์พงษ์ หริ่มเจริญ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 26 และกรณีการปรับลดเนื้องานและราคาตามมาตรฐาน เป็นเหตุให้ทางราชการเสียหาย เป็นเงิน 87,548,000 บาท เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการทางละเมิดด้วย
“เรื่องดังกล่าว ได้เป็นการยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และไม่เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนซึ่งเรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทยจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว หากพบข้าราชการหรือบางคนที่เกษียณราชการไปแล้วก็สามารถดำเนินการความผิด เพราะทำให้รัฐเสียหาย 87 ล้านบาท” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
วันนี้ (27 ก.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีโครงการจดซื้อกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการตอบโต้ ว่า จากรายงานของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายเจะอาหมิง โต๊ะตาหยง เป็นประธาน ได้พิจารณาศึกษาและติดตามโครงการดังกล่าวพร้อมได้ลงไปศึกษาข้อเท็จจริงในพื้นที่ซึ่งได้สรุปว่าโครงการนี้ได้มีการริเริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ นอกจากนี้ ผลการศึกษาคณะกรรมาธิการยังได้มีข้อเสนอแนะขอให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากโครงการนี้ส่อจะมีการทุจริต มีแนวโน้มเอื้อประโยชน์กับบริษัทคู่สัญญารายเดิม
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ล่าสุด ได้มีเอกสาร ลับมาก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ของ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สตง.) ที่ลงนามโดย นายพิศิษฐ์ ลีลาวัชรโรภาส รองผู้ว่าการตรวจการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องโครงการจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกำหนดที่ว่าผู้ผลิตจะต้องผ่าน ISO 9001 และผลิตใยแก้วนำแสงไม่น้อยกว่า 15 ปี ถือว่าเป็นการกีดกันผู้ผลิตวัสดุในประเทศไทย และพัสดุที่ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การดำเนินการในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ส่วนการปรับเปลี่ยนแก้ไขรายการก่อสร้างอาคาร โดยลดขนาดอาคารที่ก่อสร้างลงถือเป็นการลดเนื้องานลงจากเดิม และมีผลกระทบต่อราคามาตรฐานที่ได้รับอนุมัติ ดังนั้นการที่แก้ไข TOR เรื่องนี้โดยไม่ได้พิจารณาเรื่องราคา ไม่มีรายงานว่ามีการคิดคำนวณ ว่าต้องปรับลดราคาอย่างไร หรือปรับเปลี่ยนเนื้องานอย่างไร จึงไม่ใช่การแก้ไขปรับปรุงเงื่อนไขจัดซื้อที่เหมาะสม กรณีนี้จึงไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติจาก กวพ.อ.และยังเป็นเหตุให้ทางการเสียผลประโยชน์ จึงเป็นการดำเนินการโดยมิชอบ ขณะที่การขัดซื้อโดยวิธีพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ปรับลดราคาจำนวนสินค้า และรายการก่อสร้างลง คิดเป็นเงินจำนวน 87,548,000 บาท แต่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ได้ปรับลดวงเงินการจัดซื้อลง และกลับทำแผนการดำเนินการจัดซื้อและราคามาตรฐานใหม่ภายหลังได้ผู้ชนะการเสนอราคา โดยนำยอดเงินที่ควรปรับลดไปเพิ่มในรายการระบบแผนที่แสดงตำแหน่งสูงขึ้น 10,000,000 บาท และการปรับเพิ่มอะไหล่สำรอง ส่วน ACTIVE จากเดิมสูงขึ้นถึง 2,264 เปอร์เซ็นต์ และส่วน Passive สูงขึ้นถึง 3,897 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 77,548,000 บาท โดยยังคงอัตราอะไหล่สำรองไว้ที่ร้อยละ 10 และร้อยละ 5 ตามลำดับเดิม จึงเป็นการดำเนินการโดยมิชอบทำให้ราชการเสียหายเป็นเงิน 87,548,000 บาท
รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า โดยผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พิจารณาแล้วเห็นชอบกับการดำเนินการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีการกำหนดสายใยแก้วนำแสง ว่า ผู้ผลิตจะต้องผ่านมาตรฐาน ISO 9001 และผลิตสายใยแก้วนำแสง ไม่น้อยกว่า 15 ปี เห็นควรดำเนินการทางอาญาและทางวินัย กับ นายพงศธร สัจจชลพันธ์, พ.อ.ชาญวิทย์ ภัสสรโยธิน,นายเสฎฐสิร สินธุวงศานนท์, นายชัยวัฒน์ วงษ์วสานิช และ นายสมนึก สองเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และความผิดต่อหน้าที่ ขณะเดียวกันกรณีกระทำการแก้ไข ทีโออาร์โดยปรับลดรายการก่อสร้างอาคาร และการปรับลดรายการ ราคาอุปกรณ์ติดตั้ง แต่คงราคามาตรฐานรวมไว้ตามเดิม
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีว่า นอกจากนี้ เห็นควรดำเนินการทางอาญา แพ่ง และวินัย แก่ นายพงศ์โพยม วาศภูติ, นายประจักษ์ สุวรรณภักดี, นายพงศธร สัจจชลพันธ์, นายชัยวัฒน์ วงษ์วานิช, นายสมนึก สองเมือง, พ.อ.ประจิตร อ่ำพันธ์ และ นายกฤษฎิ์พงษ์ หริ่มเจริญ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 26 และกรณีการปรับลดเนื้องานและราคาตามมาตรฐาน เป็นเหตุให้ทางราชการเสียหาย เป็นเงิน 87,548,000 บาท เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการทางละเมิดด้วย
“เรื่องดังกล่าว ได้เป็นการยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และไม่เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนซึ่งเรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทยจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว หากพบข้าราชการหรือบางคนที่เกษียณราชการไปแล้วก็สามารถดำเนินการความผิด เพราะทำให้รัฐเสียหาย 87 ล้านบาท” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว