xs
xsm
sm
md
lg

อ.นิติฯ มธ.อัด “นิติราษฎร์” ยกศาลยุคนาซีเปรียบศาลไทย ชี้คนละเรื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บันทึก “สิ่งที่คล้ายกันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ไม่พึงปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสิ่งที่ต่างกัน” ในเฟซบุ้ค รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“กิตติศักดิ์” อาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตอกกลับกลุ่มนิติราษฎร์ เสนอลบล้างผลพวงรัฐประหารปี 49 ชี้ แม้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แต่ก็จำกัดโดยกฎหมายเสมอ ซัดหยิบกรณีศาลประชาชนยุคนาซี ในเยอรมันคนละเรื่อง เหตุศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมืองไม่ได้แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร แถมยังสู้คดีได้เต็มที่ เลือกทนายความได้เอง เตือนเอาเรื่องที่ไม่ควรเทียบกันมาเทียบทำคนหมู่มากสับสน อย่าปักธงคำตอบล่วงหน้าแล้วค่อยหาเหตุผลตามหลัง

วันนี้ (27 ก.ย.) รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบันทึกในเฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “สิ่งที่คล้ายกันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ไม่พึงปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสิ่งที่ต่างกัน” โดยกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นกลุ่มอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่นำโดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ออกแถลงการณ์โดยมีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

โดยกล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมที่กลุ่มนิติราษฎร์กล้าคิด และแถลงความคิดเห็นของตนต่อสาธารณชนเพื่อชักชวนให้มาคิดคล้อย และคิดค้านกันบนฐานแห่งเหตุผล โดยไม่จมอยู่ในอคติ หรือผลัดกันเขียนเวียนกันอ่านวานกันชมเฉพาะหมู่พวกของตัว แต่การนำเสนอความเห็นโดยนำสิ่งที่ไม่ควรเทียบกันมาเทียบกัน หรือแสดงความเห็นโดยไม่ชี้แจงให้ชัดว่าเป็นความเห็น แต่ทำให้คนเชื่อได้ว่าเป็นความรู้โดยมิได้ตั้งแง่คิดให้ผู้อ่านได้ไตร่ตรองอาจชวนให้เกิดความหลงทาง หรือเกิดไขว้เขวทางความคิดแก่คนหมู่มากจนยากจะแก้ไข เป็นสิ่งที่นักวิชาการพึงระวัง

ทั้งนี้ การลบล้างผลคำพิพากษาที่อ้างว่าขัดต่อหลักความยุติธรรมอย่างร้ายแรงโดยอ้างอำนาจประชาชนนั้น ก่อนอื่นต้องพิเคราะห์กันเสียก่อนว่าสิ่งที่เรียกว่า การอ้างอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนขึ้นลบล้างคำพิพากษานั้น ในเชิงหลักการเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ซึ่งหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ดำรงอยู่ได้ไม่ใช่เพราะตั้งอยู่บนฐานของเสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเป็นเสียงข้างมากที่ยืนยันหลักการถือกฎหมายเป็นใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าหลักนิติธรรมซึ่งข้อพิพาททั้งปวงต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลยุติธรรมที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อำนาจสูงสุดแม้จะเป็นของประชาชน แต่ก็จำกัดโดยกฎหมายเสมอ และกฎหมายที่ว่านี้มีอยู่อย่างไรก็ต้องตัดสินโดยผู้พิพากษาซึ่งเป็นอิสระ คือต้องเป็นคนกลาง ที่เข้าสู่ตำแหน่งเพราะมีคุณสมบัติเป็นที่ประจักษ์ทั้งในทางคุณวุฒิ และทางคุณธรรม ไม่ใช่ตั้งกันตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ แต่ตั้งขึ้นจากบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่พอจะทำให้น่าเชื่อได้ว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนมีคุณวุฒิเป็นผู้รู้กฎหมาย รู้ผิดชอบชั่วดี และเป็นผู้ทรงคุณธรรม คือ วินิจฉัยตัดสินคดีไปตามความรู้และความสำนักผิดถูกของตน โดยตั้งตนอยู่ในความปราศจากอคติ และมีหลักเกณฑ์ทางจรรยาบรรณคอยควบคุม ด้วยเหตุนี้แม้ประชาชนจะลงประชามติไว้ว่าอย่างไรก็ตาม หากประชามติซึ่งเป็นการใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนนั้นขัดต่อกฎหมาย ศาลซึ่งเป็นคนกลางที่เป็นอิสระก็มีอำนาจชี้ขาดว่าประชามตินั้นขัดต่อกฎหมายและไม่มีผลบังคับ

รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ได้ยกกรณีเพอร์รี่ วี ชวาร์เซเน็กเกอร์ ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิพากษา ว่า ผลการลงประชามติของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีมติให้แก้รัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนียเสียใหม่ เพื่อหวงห้ามมิให้คนเพศเดียวกันทำการสมรสกันได้นั้นขัดต่อหลักความเสมอภาคและขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา โดยเสียงข้างมากต้องการให้กำหนดตายตัวลงในรัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนียทีเดียวว่า การสมรสจะทำได้เฉพาะหญิงกับชายเท่านั้นคำพิพากษาของศาลสูงสหรัฐอเมริกาในคดีนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ศาลตัดสินไปในทางที่ขัดต่อมติมหาชน แต่ศาลสหรัฐอเมริกาก็ได้ยอมรับว่า เมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในทางที่ผิด ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากรับรู้ไว้

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคำพิพากษาจะเป็นธรรมเสมอไป และวงการตุลาการไทยไม่ได้เป็นสถาบันที่แตะต้องวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่ก็ยังต้องถือเป็นหลักว่าคำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมย่อมต้องได้รับการแก้ไขจากอำนาจตุลาการด้วยกัน การปล่อยให้อำนาจนิติบัญญัติอ้างอำนาจประชาชนเข้าแทรกแซง ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างคำพิพากษานั้น ย่อมขัดต่อหลักความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการ เว้นแต่สิ่งที่อ้างว่าควรลบล้างไปนั้น แท้จริงมิได้มีฐานะหรือมีค่าเป็นคำพิพากษา ซึ่งการจะลบล้างโดยใช้อำนาจนิติบัญญัติย่อมพอจะฟังได้ ไม่ต่างอะไรกับการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

“ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า จะอาศัยเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่า สิ่งนั้นๆ เป็นคำพิพากษาที่ควรเคารพหรือไม่ ซึ่งแน่นอนไม่อาจใช้เพียงเกณฑ์เสียงข้างมากเป็นเป็นเครื่องตัดสินได้ มิฉะนั้น เสียงข้างมากในวันข้างหน้าก็อาจกลับเสียงข้างมากของวันนี้ได้เสมอ แต่ต้องว่ากันตามหลักเหตุผล ผิด-ถูกที่ได้รับการใคร่ครวญอย่างรอบคอบจนประจักษ์แน่แก่ใจแล้วเท่านั้น” รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ระบุ

รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงกรณีคำพิพากษาของศาลประชาชนในยุคนาซี ที่กลุ่มนิติราษฎร์ได้ยกตัวอย่าง ซึ่งรัฐสภาเยอรมันได้ตรากฎหมายลบล้าง ระบุว่าไม่ใช่เป็นเพราะคำพิพากษาที่ขัดต่อความยุติธรรมธรรมดา แต่เป็นเพราะกรณีดังกล่าวไม่อาจนับเป็นคำพิพากษาได้เลยต่างหาก เพราะองค์กรนาซีที่ใช้ชื่อว่าศาลประชาชน โดยแฝงอยู่ในรูปของศาล และอ้างศาลเป็นเครื่องมือก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม ซึ่งการที่กลุ่มนิติราษฎร์นำกรณีนี้มากล่าวถึงในการสนับสนุนข้อเสนอให้ลบล้างคำพิพากษาของศาลไทยนั้น ทำให้น่าคิดว่ากรณีองค์การก่อการร้ายของนาซีเยอรมันจะเทียบกันกับกรณีของศาลไทยได้หรือไม่

โดยอธิบายว่า ศาลประชาชนยุคนาซี เป็นศาลพิเศษที่ฮิตเลอร์ตรากฎหมายตั้งขึ้นเพราะศาลยุติธรรมเยอรมันในเวลานั้นไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจการชี้นำของฮิตเลอร์ จึงอ้างอำนาจประชาชนใช้รัฐสภาแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความเสียใหม่ แล้วตั้งศาลประชาชนขึ้นมา โดยโอนคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐทั้งหมดมาไว้ ซึ่งประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษา 5 นาย เป็นผู้พิพากษาอาชีพ 2 นาย แต่อีก 3 นายเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคนาซีซึ่งฮิตเลอร์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตนเอง โดยจะต้องปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่พรรคที่จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างเห็นประจักษ์เท่านั้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ทำหน้าที่ผู้พิพากษาไม่ได้เป็นอิสระ แต่เป็นสาวกของฮิตเลอร์ที่ตั้งขึ้นตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ โดยไม่อาจเรียกศาลประชาชนของฮิตเลอร์ได้ว่าเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ เพราะที่จริงเป็นแต่องค์กรพรรคนาซีที่แฝงอยู่ในชื่อของศาลเท่านั้น

“เพียงเท่านี้เราก็จะเห็นได้ว่า กรณีที่เยอรมันตรากฎหมายลบล้างคำพิพากษาศาลประชาชนนาซีนั้น ยากที่จะนำมาเทียบกับกรณีของไทย เพราะตุลาการในศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองนั้นไม่ได้มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติรัฐประหาร แต่มาจากการเลือกตั้งของผู้พิพากษาศาลยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาอาชีพที่มีที่มาจากผู้พิพากษาอาชีพเท่านั้น คณะปฏิวัติรัฐประหารไม่มีอำนาจคัดเลือกหรือแต่งตั้งแต่อย่างใด” รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ระบุ

นอกจากนี้ ในศาลประชาชนของนาซีนอกจากผู้ใช้อำนาจตัดสินจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของนาซีเป็นเสียงข้างมากแล้ว ยังไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาเลือกทนายความได้อย่างอิสระอีกด้วย ซึ่งจากตัวเลขทางการเยอรมัน ในปี 1944 ศาลประชาชนของฮิตเลอร์มีผู้พิพากษาอาชีพราว 1 ใน 4 ของผู้พิพากษาที่ได้รับแต่งตั้งมาจากเจ้าหน้าที่พรรคนาซี และนับแต่มีการตั้งศาลแห่งนี้ขึ้นจนสิ้นสุดสงครามโลกนั้น ศาลนี้ได้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตคนไปราว 7,000 คน ประสบการณ์อันเลวร้ายของฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีนี้เป็นสิ่งที่คับข้องใจประชาชนเยอรมันมานาน ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ว่า เหตุใดรัฐสภาเยอรมัน จึงตรากฎหมายลบล้างคำพิพากษาของศาลประชาชนนาซีเป็นการทั่วไป เห็นได้ชัดว่าการเพิกถอนคำพิพากษาศาลประชาชนนาซีนั้นแท้จริงเป็นการเพิกถอนคำตัดสินขององค์กรก่อการร้ายสำคัญในอดีต ไม่ได้ยกเลิกคำพิพากษาคดีอาญาทั่วไปของศาลยุติธรรมเยอรมันแต่อย่างใด

รศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองของไทย ซึ่งมีผู้พิพากษาอาชีพทั้งหมด และมีกระบวนการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ได้เต็มที่ตามกฎหมาย เลือกทนายความของตนเองได้อย่างอิสระ จะไปเทียบกับการตัดสินขององค์การก่อการร้ายที่แฝงอยู่ในรูปของศาลนาซีได้อย่างไร บางทีอาจต้องคอยเตือนตัวเองไว้บ้างว่า ยามที่เราคอยเตือนผู้อื่นไม่ให้ตกหลุมทางความคิด โดยระวังอย่าปักธงคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยหาเหตุผลตามหลังนั้น เรากำลังตกอยู่ในหลุมนั้นเช่นกันหรือไม่

สำหรับรายละเอียดบันทึกของ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ มีดังต่อไปนี้

สิ่งที่คล้ายกันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ไม่พึงปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสิ่งที่ต่างกัน
by Kittisak Prokati on Tuesday, September 27, 2011 at 4:32am

ผมจากเมืองไทยมาประชุมสมาคมนักกฎหมายเปรียบเทียบที่เมืองเยอรมันเสียหลายวัน ระหว่างนี้ได้รับจดหมายแสดงความตะขิดตะขวงใจกับแถลงการณ์ของคณะนิติราษฎร์จากมิตรสหายและลูกศิษย์ลูกหาหลายราย จึงตอบไปในเบื้องต้นว่า ก่อนอื่นควรแสดงความคารวะต่อชาวคณะนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นผู้ที่กล้าคิดและแถลงความคิดเห็นของตนต่อสาธารณชนเพื่อชักชวนให้มาคิดคล้อยและคิดค้านกันบนฐานแห่งเหตุผล เพราะท่านเหล่านี้กำลังชักชวนให้เรามาร่วมกันสร้างโลกและสร้างสังคมด้วยเหตุด้วยผล ไม่จมอยู่ในอคติ หรือผลัดกันเขียนเวียนกันอ่านวานกันชมเฉพาะหมู่พวกของตัว

ในขณะเดียวกัน ก็ควรยินดีว่าการที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่เตือนให้เราสำรวจ และการสำรวจความบกพร่องในเชิงหลักการของข้อคิดความเห็นของเราเองเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างสม่ำเสมอ ทำนองดียวกันการสำรวจข้อคิดของคนที่เรารักและนับถือ ไปจนกระทั่งการเตือนให้เขามองเห็นความบกพร่องบางข้อ หรือเตือนให้มองเห็นในมุมมองอื่นบ้าง ตามมาตรฐานเยอรมันถือว่าพึงกระทำเป็นนิตย์ และอันที่จริงเป็นหน้าที่ของมิตรอย่างหนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่นักวิชาการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณชน โดยนำสิ่งที่ไม่ควรเทียบกันมาเทียบกันประหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เทียบกันได้ หรือแสดงความเห็นโดยไม่ชี้แจงให้ชัดว่าเป็นความเห็น แต่ทำให้คนเชื่อไปว่าเป็นความรู้โดยมิได้ตั้งแง่คิดให้ผู้อ่านได้ไตร่ตรองอย่างแจ่มชัดนั้น อาจชวนให้เกิดความหลงทาง หรือเกิดไขว้เขวทางความคิดแก่คนหมู่มากจนยากจะแก้ไข เป็นสิ่งที่นักวิชาการพึงระวัง

เรื่องการลบล้างผลคำพิพากษาที่อ้างว่าขัดต่อหลักความยุติธรรมอย่างร้ายแรงโดยอ้างอำนาจประชาชนนั้น ก่อนอื่นต้องพิเคราะห์กันเสียก่อนว่าสิ่งที่เรียกว่า การอ้างอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนขึ้นลบล้างคำพิพากษานั้น ในเชิงหลักการเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่

หลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ดำรงอยู่ได้ไม่ใช่เพราะตั้งอยู่บนฐานของเสียงข้างมากเฉย ๆ แต่เพราะเป็นเสียงข้างมากที่ยืนยันหลักการถือกฎหมายเป็นใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าหลักนิติธรรม นั่นคือนับถือว่า ข้อพิพาททั้งปวงต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลยุติธรรมที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวอีกอย่างก็คือ อำนาจสูงสุดแม้จะเป็นของประชาชน แต่ก็จำกัดโดยกฎหมายเสมอ และกฎหมายที่ว่านี้มีอยู่อย่างไรก็ต้องตัดสินโดยผู้พิพากษาซึ่งเป็นอิสระ

ที่ว่าเป็นอิสระในที่นี้ก็คือต้องเป็นคนกลาง ที่เข้าสู่ตำแหน่งเพราะมีคุณสมบัติเป็นที่ประจักษ์ทั้งในทางคุณวุฒิ และทางคุณธรรม ไม่ใช่ตั้งกันตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ แต่ตั้งขึ้นจากบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่พอจะทำให้น่าเชื่อได้ว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนมีคุณวุฒิเป็นผู้รู้กฎหมาย รู้ผิดชอบชั่วดี และเป็นผู้ทรงคุณธรรมคือวินิจฉัยตัดสินคดีไปตามความรู้และความสำนักผิดถูกของตน โดยตั้งตนอยู่ในความปราศจากอคติ และมีหลักเกณฑ์ทางจรรยาบรรณคอยควบคุม

ด้วยเหตุนี้แม้ประชาชนจะลงประชามติไว้ว่าอย่างไรก็ตาม หากประชามติซึ่งเป็นการใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนนั้นขัดต่อกฎหมาย ศาลซึ่งเป็นคนกลางที่เป็นอิสระก็มีอำนาจชี้ขาดว่าประชามตินั้นขัดต่อกฎหมายและไม่มีผลบังคับ

ตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้เห็นได้จากคดี Perry v. Schwarzenegger ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิพากษาไปเมื่อ ๔ สิงหาคม ปี ๒๑๑๐ นี้เองว่า ผลการลงประชามติของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๐๐๘ ที่มีมติให้แก้รัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนียเสียใหม่ เพื่อหวงห้ามมิให้คนเพศเดียวกันทำการสมรสกันได้นั้นขัดต่อหลักความเสมอภาคและขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ตามประชามตินั้น ประชาชนเสียงข้างมากในแคลิฟอร์เนียต้องการให้กำหนดตายตัวลงในรัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนียทีเดียวว่า การสมรสจะทำได้เฉพาะหญิงกับชายเท่านั้น

คำพิพากษาของศาลสูงสหรัฐอเมริกาในคดีนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ศาลตัดสินไปในทางที่ขัดต่อมติมหาชน จัดเป็น Anti-Majoritarian Decision แต่ศาลสหรัฐอเมริกาก็ได้ยอมรับว่า เมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในทางที่ผิด ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากรับรู้ไว้

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคำพิพากษาจะเป็นธรรมเสมอไป และใช่ว่าวงการตุลาการไทยเป็นสถาบันที่แตะต้องวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่กระนั้น เราก็ยังต้องถือเป็นหลักว่า คำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมย่อมต้องได้รับการแก้ไขจากอำนาจตุลาการด้วยกัน การปล่อยให้อำนาจนิติบัญญัติอ้างอำนาจประชาชนเข้าแทรกแซง ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างคำพิพากษานั้น ย่อมขัดต่อหลักความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการ เว้นแต่สิ่งที่อ้างว่าควรลบล้างไปนั้น แท้จริงมิได้มีฐานะหรือมีค่าเป็นคำพิพากษาแต่อย่างใด เมื่อไม่มีค่าพอที่จะนับถือเป็นคำพิพากษาแล้ว การจะลบล้างโดยใช้อำนาจนิติบัญญัติย่อมพอจะฟังได้ ไม่ต่างอะไรกับการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนั่นเอง

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า จะอาศัยเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่า สิ่งนั้น ๆ เป็นคำพิพากษาที่ควรเคารพหรือไม่ ซึ่งแน่นอนไม่อาจใช้เพียงเกณฑ์เสียงข้างมากเป็นเป็นเครื่องตัดสินได้ มิฉะนั้นเสียงข้างมากในวันข้างหน้าก็อาจกลับเสียงข้างมากของวันนี้ได้เสมอ แต่ต้องว่ากันตามหลักเหตุผล ผิด-ถูกที่ได้รับการใคร่ครวญอย่างรอบคอบจนประจักษ์แน่แก่ใจแล้วเท่านั้น

กรณีคำพิพากษาของ "ศาลประชาชนในยุคนาซี" ที่รัฐสภาเยอรมันได้ตรากฎหมายลบล้างไปเมื่อปี ๒๐๐๒ นั้น อันที่จริงไม่ใช่เป็นเพราะนั่นเป็นคำพิพากษาที่ขัดต่อความยุติธรรมธรรมดา แต่เป็นเพราะกรณีดังกล่าวไม่อาจนับเป็นคำพิพากษาได้เลยต่างหาก เพราะนั่นคือองค์กรนาซีที่ใช้ชื่อว่า "ศาลประชาชน" โดยแฝงอยู่ในรูปของศาล และอ้างศาลเป็นเครื่องมือก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม ดังนั้นการนำกรณีนี้มากล่าวถึงในการสนับสนุนข้อเสนอให้ลบล้างคำพิพากษาของศาลไทยนั้น ทำให้น่าคิดว่ากรณีองค์การก่อการร้ายของนาซีเยอรมันจะเทียบกันกับกรณีของศาลไทยได้ละหรือ?

ผู้ที่สนใจประวัติของนาซีเยอรมันย่อมรู้ดีว่า "ศาลประชาชนยุคนาซี" นั้นไม่ใช่ศาลยุติธรรมตามความหมายที่เราเข้าใจกันในประเทศไทย แต่เป็นศาลพิเศษที่ฮิตเล่อร์ตรากฎหมายตั้งขึ้น และเหตุที่ตั้งศาลพิเศษนี้ขึ้นก็เพราะศาลยุติธรรมเยอรมันในเวลานั้นไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจการชี้นำของฮิตเล่อร์ โดยได้พิพากษาปล่อยตัวกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันที่ฮิตเล่อร์กล่าวหาว่าเป็นตัวการวางเพลิงเผารัฐสภาเยอรมันเป็นอิสระ ฮิตเล่อร์ไม่พอใจที่ตนควบคุมตุลาการในศาลยุติธรรมไม่ได้ ก็เลยอ้างอำนาจประชาชนใช้รัฐสภาแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความเสียใหม่ แล้วตั้ง "ศาลประชาชน" ขึ้นมา โดยโอนคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐทั้งหมดมาไว้กับศาลประชาชนนี้ แล้วจำกัดเขตอำนาจศาลยุติธรรมพิจารณาคดีอาญาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น

ศาลประชาชนของฮิตเล่อร์นี้ปรกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษา ๕ นาย ในจำนวนนี้เป็นผู้พิพากษาอาชีพ ๒ นาย แต่อีก ๓ นายเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคนาซีซึ่งฮิตเล่อร์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตนเอง โดยจะต้องปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่พรรคที่จงรักภักดีต่อฮิตเล่อร์อย่างเห็นประจักษ์เท่านั้น เพียงแค่องค์ประกอบเช่นนี้ก็ทำให้เห็นได้ชัดแล้วว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้พิพากษาไม่ได้เป็นอิสระ แต่เป็นสาวกของฮิตเล่อร์ที่ตั้งขึ้นตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจนั่นเอง ทำให้เราไม่อาจเรียกศาลประชาชนของฮิตเล่อร์ได้ว่าเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ เพราะที่จริงเป็นแต่องค์กรพรรคนาซีที่แฝงอยู่ในชื่อของศาลเท่านั้น

เพียงเท่านี้เราก็จะเห็นได้ว่า กรณีที่เยอรมันตรากฎหมายลบล้างคำพิพากษาศาลประชาชนนาซีนั้น ยากที่จะนำมาเทียบกับกรณีของไทย เพราะตุลาการในศาลแผนกคดีอาญานักการเมืองนั้นไม่ได้มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติรัฐประหาร แต่มาจากการเลือกตั้งของผู้พิพากษาศาลยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาอาชีพที่มีที่มาจากผู้พิพากษาอาชีพเท่านั้น คณะปฏิวัติรัฐประหารไม่มีอำนาจคัดเลือกหรือแต่งตั้งแต่อย่างใด

นอกจากนี้เราควรทราบต่อไปได้ว่าในศาลประชาชนของนาซีนั้น นอกจากผู้ใช้อำนาจตัดสินจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของนาซีเป็นเสียงข้างมากแล้ว ศาลประชาชนนาซียังไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาเลือกทนายความได้อย่างอิสระอีกด้วย ผู้ต้องหามีสิทธิแค่เสนอชื่อผู้ที่ตนเห็นควรเป็นทนาย และบุคคลดังกล่าวจะเป็นทนายให้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากศาลนาซีเสียก่อนเท่านั้น โดยทั่วไปทนายความที่ได้รับความเห็นชอบจากศาลจะรู้ตัวว่าตนได้ว่าคดีใดล่วงหน้าเพียง ๑ วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มการพิจารณา โดยมากทนายความมักไม่รู้จัก หรือไม่มีโอกาสติดต่อกับผู้ต้องหามาก่อนล่วงหน้ามาก่อน และศาลจะพิจารณาคดีอย่างรวบรัด โดยไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา

จากตัวเลขทางการเยอรมัน ในปี ๑๙๔๔ ศาลประชาชนของฮิตเล่อร์มีผู้พิพากษาอาชีพราว ๑ ใน ๔ ของผู้พิพากษาที่ได้รับแต่งตั้งมาจากเจ้าหน้าที่พรรคนาซี และนับแต่มีการตั้งศาลแห่งนี้ขึ้นจนสิ้นสุดสงครามโลกนั้น ศาลนี้ได้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตคนไปราว ๗,๐๐๐ คน

ประสบการณ์อันเลวร้ายของฮิตเล่อร์และพลพรรคนาซีนี้เป็นสิ่งที่คับข้องใจประชาชนเยอรมันมานาน ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ว่า เหตุใดรัฐสภาเยอรมันจึงตรากฎหมายลบล้างคำพิพากษาของศาลประชาชนนาซีเป็นการทั่วไป ซึ่งก็คือลบล้างคำพิพากษาเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ หรือคดีการเมืองในยุคนาซี หรือคดีที่อ้างอิงกฎหมายที่นาซีตราขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าการเพิกถอนคำพิพากษาศาลประชาชนนาซีนั้นแท้จริงเป็นการเพิกถอนคำตัดสินขององค์กรก่อการร้ายสำคัญในอดีต ไม่ได้ยกเลิกคำพิพากษาคดีอาญาทั่วไปของศาลยุติธรรมเยอรมันแต่อย่างใด

ข้อที่น่าคิดต่อไปอยู่ที่ว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองของไทยเรา ซึ่งมีผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาอาชีพทั้งหมด และมีกระบวนการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ได้เต็มที่ตามกฎหมาย เลือกทนายความของตนเองได้อย่างอิสระ จะไปเทียบกับการตัดสินขององค์การก่อการร้ายที่แฝงอยู่ในรูปของศาลนาซีได้อย่างไร?

บางทีเราอาจต้องคอยเตือนตัวเองไว้บ้างว่า ยามที่เราคอยเตือนผู้อื่นไม่ให้ตกหลุมทางความคิด โดยระวังอย่าปักธงคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยหาเหตุผลตามหลังนั้น เรากำลังตกอยู่ในหลุมนั้นเช่นกันหรือเปล่า?
กำลังโหลดความคิดเห็น