คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ไฟเขียว งบ 1.82 หมื่นล้าน พัฒนาระบบงานจังหวัด อ้างงบปี 55 ติดขัดกรอบเวลา ชงแผนจัดงบปี 56 ทันที นายกฯ ตั้ง 9 ข้อสังเกต ให้ทุกหน่วยบูรณาการ
วันนี้ (26 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (กนจ.) โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ในที่ประชุม กนจ.เห็นชอบในกรอบการพิจารณางบประมาณในวันนี้ คือ 18,200 ล้านบาท ซึ่งมี นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด มีหลักการในการจัดระเบียบงบประมาณดังนี้คือ 1.ในพื้นที่ หรือในจังหวัดที่มีประชาชนจำนวนมากจะได้งบประมาณมาก จังหวัดที่มีประชาชนจำจนวนน้อยได้งบประมาณน้อย 2.จังหวัดที่ประชาชนมีรายได้น้อยจะได้งบพัฒนามาก ส่วนจังหวัดที่มีประชาชนรายได้มากจะได้งบประมาณในการพัฒนาน้อย 3.จังหวัดใดที่เก็บภาษีได้มากจะได้งบพัฒนามาก จังหวัดใดเก็บภาษีใดน้อยจะได้งบน้อย ซึ่งงบประมาณปี 2555 ที่มีการจัดทำมาแล้วนั้น ก็ให้กลับไปทำเพิ่ม โดยให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 5 ต.ค.นี้
นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดทำงบประมาณนั้นติดขัดในเรื่องกรอบระยะเวลามาโดยตลอด ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งโครงการไว้ว่าจะเริ่มจัดสรรงบประมาณปี 2556 ในทันที ซึ่ง นายแพทย์ สุรวิทย์ มีแนวคิดหลักการในการจัดสรรงบประมาณโดยมีการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์พร้อมกันในทุกจังหวัด ซึ่งมี 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1.ยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับน้ำ โดยจะเชิญนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญและข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาประชุมกัน 2.ยุทธศาสตร์ถนนโดยจะเชิญนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญและข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาประชุมกัน 3.ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบการเกษตรในประเทศด้วย
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตั้งข้อสังเกตในการทำงานไว้ 9 ข้อด้วยกัน คือ 1.ให้ทุกหน่วยงานทำงานอย่างบูรณาการอย่างเข้าใจ ทำร่วมกันทุกหน่วยงาน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ต่างคนต่างองค์กรต่างทำ เช่น กรณีน้ำท่วม บางจังหวัดทำผนังกั้นน้ำไม่ให้เข้าในพื้นที่ตนเอง แต่ไปท่วมในจังหวัดอื่น 2.ต้องร่วมคิดร่วมทำ ร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน เกิดการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน 3.การทำงานในส่วนการและส่วนพื้นที่ต้องสอดรับประสานแต่ละส่วนให้มีความสำคัญเท่าๆ กัน 4.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น 5.น้อมนำพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการปราบปรามยาเสพติด
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า 6.พัฒนาศักยภาพแรงงานเด็กและสตรี ส่งเสริมศักยภาพแรงงานฝีมือคุณภาพดี ทักษะสูง เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้น 7.สร้างรายได้ในภาพรวมที่จะเกิดขึ้นทั้งระบบต่อการสร้างรายได้ให้กับประชาชน เงินในกระเป๋าต้องเพิ่มขึ้น ตามหลักการของรัฐบาลในการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส 8.ส่งเสริมการท่องเที่ยว เสริมสร้างการทำธุรกิจโอทอปให้เป็นสินค้าที่เป็นความภาคภูมิใจของท้องถิ่น และ 9.พัฒนากระบวนการในการประเมินผลและพัฒนาจุดชี้วัดความพึงพอใจของประชาชนอีกด้วย