“สุรพงษ์” อ้างเปลี่ยนประธานเจบีซีจาก “อัษฎา” มาเป็น “บัณฑิต” เพราะทำงานมา 2 ปีไม่คืบ แต่กลับยอมรับอาจจะติดขั้นตอนสภาฯเหมือนในอดีต ปัดความสัมพันธ์เขมรดีขึ้นเพราะเป็นพวกกันจนถูกมองอาจมีการเกี้ยเซี้ยะ บอกในยุค “สมัคร” ก็มีปัญหาถ้าฮั้วกันก็คงทำเสร็จไปแล้ว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนายอัษฎา ชัยนาม อดีตประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ระบุว่าโดนปรับเปลี่ยนเพราะไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทยว่า ความจริงตามตำแหน่งแล้วประธานเจบีซีต้องเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อมีรัฐบาลใหม่ตนก็มีสิทธิที่จะเลือกประธานเจบีซีคนใหม่ และการเลือกนายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ก็ได้มีการปรึกษาหารือกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
“แม้ทูตอัษฎาจะเป็นผู้มีความรู้ แต่ถ้าท่านทำสำเร็จก็คงทำได้ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาแล้ว ผมเห็นว่าทูตบัณฑิตเป็นผู้ที่มีความรู้ และมีความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นอย่างดี ก็น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ในฐานะคนทำงานผมก็ต้องขอโอกาสให้คนใหม่เข้ามาทำดูและให้พวกผมทำงานบ้าง ฝ่ายค้านก็อย่ามากล่าวหาหรือว่ากันเลยว่าเปลี่ยนคนนั้นคนนี้ เพราะในทางการเมืองตอนที่ท่านทำงานท่านก็เปลี่ยนเหมือนกัน รัฐบาลใหม่ก็อยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ไปซ้ำรอยเดิม”
ส่วนที่ทูตอัษฎาบอกว่าที่งานไม่คืบเพราะติดขั้นตอนในสภาและปัญหาชายแดน นายสุรพงษ์กล่าวว่า เมื่อมีโอกาสตนก็พยายามจะก้าวต่อไป ถึงวันนี้มันก็อาจจะติดขั้นตอนในสภาได้เหมือนกัน แต่มันต้องให้โอกาสกันทำงาน วันนี้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้น การทำงานก็น่าจะดีขึ้นกว่าในอดีต และน่าจะเห็นผลเร็วขึ้น ตอนไปเยือนกัมพูชา สมเด็จฯ ฮุนเซน ก็บอกว่าอยากให้การปักปันเขตแดนระหว่างกันแล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อฝ่ายกัมพูชามีความจำนงค์เช่นนี้ก็น่าจะทำให้เรื่องแล้วเสร็จได้ แน่นอนว่าในการปักหลักเขตจุดไหนที่อ่อนไหวก็ต้องใช้เวลา แต่จุดที่มีแนวอยู่แล้วก็น่าจะสามารถตกลงกันได้
“อย่างน้อยคิดว่าคณะกรรมาธิการชุดใหม่น่าจะทำได้ดีกว่าชุดที่แล้ว ที่จะกล่าวหาว่าอดีตคนนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้พอเถอะ ต่างก็เป็นคนเก่าคนแก่ของกระทรวงเหมือนกัน ทุกคนในกระทรวงที่ผมสัมผัสต่างก็รักประเทศไทย ทำเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนทั้งนั้น”
นายสุรพงษ์กล่าวว่า วันนี้ฝ่ายค้านอาจมองว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา แต่จะมากล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกันคงไม่ใช่ เพราะสมัยรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ไทย-กัมพูชาก็มีปัญหากันเช่นกัน เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่จะมามองว่าเราเกี้ยเซี้ยะหรือฮั้วกันคงไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นก็คงทำเสร็จกันไปตั้งแต่รัฐบาลท่านสมัครแล้ว ดังนั้นต้องทำใจให้กว้าง อย่ามาเล่นการเมืองกันในประเด็นเหล่านี้และควรต้องพูดให้น้อยๆ หน่อยเพราะพูดมากๆ บางทีก็เป็นศรย้อนมาแทงตัวเอง
