xs
xsm
sm
md
lg

ประชานิยมเริ่มพ่นพิษชาติเสียหาย-ทำไม่ได้จริง !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต้องยอมรับว่านโยบายที่เรียกว่า “ประชานิยม” แบบ “จัดหนัก” ของพรรคเพื่อไทย เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ได้ชัยชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ส่งผลให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ทั้งที่มีประสบการณ์ทางการเมืองเพียงแค่ 48 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ดีเมื่อเป็นรัฐบาลบริหารประเทศแล้ว กลับกลายเป็นว่า หลายนโยบายที่ได้สัญญาเอาไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “ทำทันที” กลับกลายเป็นว่า “ทำไม่ได้” หรือ “ปฏิบัติไม่ได้จริง” ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งจะต้องมาว่ากันในรายละเอียดต่อไป แต่ขณะเดียวกันจากนโยบายประชานิยม “บางอย่าง”ที่ รัฐบาลเริ่มนำมาใช้ก็กลับสร้างความพอใจให้กับชาวบ้านอยู่นั้นก็ส่อเค้าว่าจะสร้างปัญหาทั้งกับชาวบ้าน และประเทศชาติทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เริ่มจากนโยบายประชานิยมที่ปฏิบัติไม่ได้ หรือ กำลัง “บิดเบี้ยว” ผิดไปจากเดิมนั้น เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายหลักที่สร้างความพอใจให้กับชาวบ้านจนไม่ลังเลที่จะลงคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย และให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นว่าเริ่มต้นด้วยการบิดเบือนจากค่าจ้างขั้นต่ำวันละ กลายเป็น “รายได้วันละ” และต่อมาก็นำร่องก่อน 7 จังหวัดเริ่มใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2555 ไม่ใช่พร้อมกันทั่วประเทศอย่างที่หาเสียงเอาไว้

อย่างไรก็ดีแม้ว่าในที่สุดแล้วยังไม่มีความชัดเจนว่า ใน 7 จังหวัดนำร่องที่รัฐบาลประกาศนั้นจะเป็น ค่าจ้างขั้นต่ำหรือว่ารายได้ต่อวัน แต่ก็กลายเป็นว่ายังไม่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการ “ไตรภาคี” ที่เป็นผู้ชี้ขาดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทำให้เห็นว่าอย่าว่าแต่ขึ้นค่าจ้างวันละ 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศเลย แค่ 7 จังหวัดนำร่องก็ยังมีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผดิมชัย สะสมทรัพย์ ก็อ้างว่าต้องเป็นความสมัครใจของภาคเอกชนจะไปบังคับไม่ได้

หรือแม้แต่เรื่องเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ที่กลับกลายเป็น “เงินค่าครองชีพ” ไม่ใช่เป็นการปรับเงินเดือนข้าราชการ ตามที่หาเสียงเอาไว้ และเริ่มในวันที่ 1 มกราคมปีหน้าเหมือนกัน

นอกจากนี้นโยบายการลดราคาน้ำมันด้วยการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันลงชั่วคราว ทำให้ราคาเบนซิน 95 และ 91 รวมไปถึง ดีเซล ลดลงมาทันทีลิตรละ 3-8 บาท อย่างไรก็ดีในเวลาต่อมาราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นมาจนใกล้เคียงกับราคาเดิมแล้ว และที่สำคัญไม่มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ไหลเข้ากระเป๋าบริษัทน้ำมันกันเป็นที่เอิกเกริก

ขณะเดียวกันในช่วงตอนหาเสียง พรรคเพื่อไทยประกาศว่าหากเข้ามาเป็นรัฐบาลจะ “กระชาก” ค่าครองชีพลงมา ด้วยการลดราคาสินค้า แต่เอาเข้าจริงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงมา ราคาสินค้าก็ไม่ได้ลดตามแต่อย่างใด สินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันกว่า 200 รายการก็ประกาศว่าจะ “ตรึงราคา” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปจนถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น นั่นก็หมายความว่าในช่วงเวลานั้นราคาจะต้องแพงขึ้นแน่นอน

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมก็ได้ประกาศอย่างแน่ชัดออกมาแล้วว่า ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้นไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เนื่องจากมีปัญหากับบริษัทที่ได้รับสัมปทานอาจเกิดการฟ้องร้องขึ้นได้ อีกทั้งบริษัทดังกล่าวล้วนเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะกระทบกับผู้ถือหุ้น ดังนั้นจึงไม่อาจทำได้ในเวลานี้ ต้องรอให้มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จครบ 10 สายเสียก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่าคนไทยจะต้องรออีกหลายปี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นปีไหนกันแน่

ล่าสุดที่เพิ่งประกาศใช้กันไปแล้วก็คือนโยบายลดภาษีรถคันแรก ที่แม้ว่าจะเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย แต่เอาเข้าจริงมันก็เกิดคำถามและปัญหาตามมามากมาย ทั้งในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากปริมาณรถที่เพิ่มขึ้น การใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้น รวมไปถึงปัญหาปลีกย่อยในเรื่องการทิ้งรถหลังจากได้เงินคืนภาษีมาแล้วในช่วง 1 ปี สารพัด

แต่ที่มีแนวโน้มจะเกิดเป็นปัญหาใหม่และใหญ่ตามมาก็คือ กรณีบริษัทรถยนต์ของต่างประเทศได้ขู่ฟ้องรัฐบาลไทยหลังจากเริ่มใช้นโยบายดังกล่าวว่า เป็นการ “กีดกันทางการเค้า” และไม่เป็นธรรม สวนทางการการดำเนินนโยบายที่กำลังเข้าไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เนื่องจากว่าเห็นว่าทำให้บริษัทรถยนต์ที่ผลิตและนำเข้าจากต่างประเทศเสียเปรียบและขายไม่ได้ เพราะตามเงื่อนไขต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศและไม่เกิน 1500 ซีซี เป็นต้น

ปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้นล้วนสะท้อนให้เห็นแล้วว่า นโยบายประชานิยมที่พรรคเพื่อไทยนำมาใช้หาเสียงประเภท “จัดหนัก” นั้นเพียงเพื่อหวังผลให้ชนะเลือกตั้งเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐเพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของพรรคให้พ้นผิดเท่านั้น เพราะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าปฏิบัติไม่ได้จริง หรือเมื่อนำมาปฏิบัติแล้วเกิดปัญหาตามมามากมาย ทำให้ชี้ให้เห็นว่า “ขาดความรอบคอบ” คิดแค่เฉพาะหน้าไปวันๆเท่านั้น ไม่สนใจว่าผลกระทบที่สะท้อนกลับมาจะมากมายแค่ไหน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น