xs
xsm
sm
md
lg

ศิษย์หลวงตาบัวย้ำปกป้องคลังหลวง ไม่ใช่แค่ส่วนบริจาค ถาม ปชช.เชื่อใครระหว่าง “พระอรหันต์-นักการเมือง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลูกศิษย์ย้ำเจตนารมณ์ “หลวงตามหาบัว” ต้องการให้ลูกหลานปกป้องคลังหลวงทั้งหมด ไม่ใช่แค่ส่วนที่รับบริจาคมาเท่านั้น มั่นใจท่านมองเห็นว่าประเทศเกิดวิกฤตหนักในอนาคตและเงินส่วนนี้จะมีประโยชน์ในตอนนั้น ถึงขั้นทำพินัยกรรมไว้ก่อนนิพพาน จี้ รมว.คลังพูดให้ชัดจะเอาเงินจากไหนกันแน่ พร้อมฝากข้อคิดให้คนไทยช่วยกันพิทักษ์คลังหลวงอย่างจริงจัง ถามจะเชื่อใครระหว่างพระอรหันต์ กับนักการเมืองที่เต็มไปด้วยความฉ้อโกง

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนเคาะข่าว”  

วันที่ 6 ก.ย. เมื่อเวลา 20.30 น. พระครูอรรภกิจนันทคุณ (พระอาจารย์นพดล) พระครูนิรมิตวิยากร (พระอาจารย์วิทยา) พระครูวัชรธรรมาจารย์ (พระอาจารย์จิรวัฒน์) พระสรรวัศ ปภัสสโร และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว”

พระอาจารย์นพดลกล่าวว่า เรื่องคลังหลวงอยากให้สังคมเข้าใจให้ชัดเจน ทองและเงินบริจาคที่หลวงตาพูดถึงเป็น 1 ใน 4 หัวข้อ ของคลังหลวงเท่านั้นเอง ในคลังหลวงมีบัญชี 3 บัญชี และบัญชีที่ 3 ยังแบ่งเป็น 3.1 และ 3.2 ดังนั้น คลังหลวงต้องเป็น 4 ไม่ใช่ 1-2 เรื่องอย่างที่นายธีระชัย รมว.คลัง บอกในเฟซบุ๊ก วันที่ 2 นายธีระชัยพูดดีอยู่ว่าไม่แตะคลังหลวง แต่พอวันที่ 3 ท่านแก้แล้ว เปลี่ยนเป็นใช้คำว่าไม่แตะทองและเงินบริจาค และเงินหนุนหลังธนบัตร เราก็เลยคิดว่าไม่ค่อยแน่นอนแล้ว

พระอาจารย์วิทยา กล่าวว่า ไม่มีรัฐบาลไหนโง่บอกตรงๆ ว่าจะแตะเงิน-ทองคำ ส่วนที่รับบริจาค กี่รัฐบาลก็พูดอย่างนี้หมดว่าจะไม่แตะ เพราะเงินบริจาคของหลวงตาบัวถ้าเทียบกับเงินทั้งหมดในคลังหลวงมีแค่นิดเดียว จุดประสงค์หลักใหญ่คือเราไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาเงินที่มีส่วนใหญ่ในคลังหลวงไปใช้หรือไม่ อันนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ หลวงตาออกมาปกป้องคลังหลวงตั้งแต่ปี 2540 เปิดโครงการช่วยชาติขึ้นมา แม้กระทั่งละสังขารไปแล้วท่านก็ยังอุตส่าห์เขียนพินัยกรรมให้พวกลูกหลาน คนไทยทั้งประเทศได้รู้ถึงความสำคัญของคลังหลวง ถึงขนาดบอกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ประชาชนบริจาคให้งานศพของท่าน ให้เอาไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงหมดเลย ไม่คำนึงถึงต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรในการจัดงานศพ เป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวงที่มีต่อพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ แล้วระยะเวลาแค่ 30 วัน ที่รองานศพของท่านก่อนพระราชทานเพลิง ยอดเงินบริจาคเข้ามาตั้งเกือบ 600 ล้าน เหมือนเป็นน้ำมนต์ที่หลวงตามาประพรมเงินส่วนนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

เงินคลังหลวงที่แท้จริงเจตนารมณ์ไม่ได้ให้เอาไปทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้นมา ไม่ได้ให้เอาไปเสี่ยง เพราะถ้าเสียรัฐบาลไหนจะรับผิดชอบ เอาคอมารับประกันกับประชาชนได้หรือไม่ เรื่องนี้จะคลุมเครือไม่ได้ ต้องให้ชัดเจนว่าจะเอาเงินมาจากไหน

นายปานเทพกล่าวว่า เวลานักข่าวถาม รมว.คลัง แทนที่จะถามว่าจะไปแตะต้องเงินของหลวงตามหาบัว และทองคำส่วนที่บริจาคหรือไม่ ควรถามว่าจะแตะคลังหลวงที่เรียกว่าทุนสำรองเงินตราของฝ่ายออกบัตรหรือไม่ อันนี้ความหมายใหญ่กว่า เหตุผลคือทุนสำรองระหว่างประเทศ แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือทุนสำรองเงินตรา หรือคลังหลวง ส่วนนี้ไม่ควรมีใครไปแตะต้อง มีพัฒนาการมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ส่วนนี้ที่หลวงตาและบูรพกษัตริย์สำรองไว้ให้ประเทศใช้ในยามวิกฤติซึ่งก็ได้ช่วยให้ประเทศพ้นวิกฤติมาแล้วถึง 4 ครั้ง ส่วนที่สองคือทุนสำรองทั่วไป ส่วนนี้มีมูลค่าสูงมาก

รมว.คลังพูดคลุมเครือ ดังนี้ ในคลังหลวง (ทุนสำรองเงินตรา) แบ่งเป็น 3 บัญชี อยู่ภายใต้ฝ่ายออกบัตรทั้งหมด การบอกว่าไม่แตะคลังหลวง ต้องหมายถึง ทั้ง 3 บัญชี คือ ทั้ง 1.บัญชีทุนสำรองเงินตรา เอาไว้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตร 100 เปอร์เซ็นต์ รมว.คลังเขียนในเฟซบุ๊กว่า ไม่แตะคลังหลวง ต่อด้วยว่าไม่แตะต้องเงินสำรองที่จำเป็นต้องมีเพื่อใช้หนุนหลังพิมพ์ธนบัตร ตนคิดว่าคงหมายถึงบัญชีแรกนี้เพราะใช้หนุนหลังพิมพ์ธนบัตร 100 เปอร์เซ็นต์ 2.บัญชีผลประโยชน์ประจำปี คือ พอออกดอกออกผลแต่ละปีก็จะมาอยู่ในบัญชีนี้ 3.บัญชีทุนสำรองพิเศษ คือใช้จ่ายรายปีเหลือเท่าไหร่จะมาไว้ในนี้ ทองคำของหลวงตามหาบัวก็อยู่ในนี้

ทีนี้ รมว.คลังเขียนว่าไม่แตะต้องคลังหลวง เริ่มไม่มั่นใจคำนิยามของนายธีระชัย กับหลวงตาเหมือนกันหรือเปล่า เพราะมีการต่อท้ายแบบมีเงื่อนไขว่าไม่มีการแตะต้องเงินสำรองที่จำเป็นต้องมีเพื่อใช้หนุนหลังเงินบาท และบอกว่าจะไม่แตะต้องทองคำที่ได้รับบริจาคมาใดๆ เพียงแต่นำเอาส่วนที่ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยเอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเปลี่ยนไปลงทุนในภูมิภาคแทน ตรงนี้มีความหมาย เพราะพันธบัตรอเมริกามีทั้งในทุนสำรองเงินตรา (คลังหลวง) และทุนสำรองทั่วไป ต้องตั้งคำถามว่าคนอย่างนายธีระชัยเคยทำงานธนาคารแห่งประเทศไทย มีหรือจะไม่เข้าใจบัญชีที่ตนพูดถึง ทำไมพูดว่าเพียงแต่นำเอาส่วนปัจจุบันที่นำไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ ส่วนปัจจุบันคือส่วนไหน โดยบอกว่าไม่แตะทองคำ แต่ท่านจะแตะพันธบัตรสหรัฐในบัญชีสำรองพิเศษหรือไม่ ตอบให้ชัดก่อน

นายปานเทพกล่าวอีกว่า หลวงตาให้แปลงเงินดอลลาร์เป็นทองคำ ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นต้องแปลงให้มากและเร็วก็จะไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่ใช่แปลว่าเขาจะขาดทุนตลอด พ.ร.บ.เงินตราให้ลงทุนได้ถึง 8 ประเภท ไม่ใช่น้อยที่กฎหมายเปิดทางให้ลงทุนได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีกองทุนมั่งคั่งเลยขาดทุน ยอมรับว่าแบงก์ชาติขาดทุนเยอะเกินไป เหตุเพราะแปลงเป็นทองคำช้า แต่แบงก์ชาติไม่ใช่มีหน้าที่แสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ขาดทุนได้แต่ไม่เกี่ยวว่าเพราะไม่มีกองทุนมั่งคั่ง ไม่ควรเอามาเป็นเงื่อนไข

ทั้งในทุนสำรองเงินตรา และทุนสำรองทั่วไป ก็มีพันธบัตรสหรัฐอเมริกา และมีเงินสกุลดอลลาร์เต็มไปหมด รวมกันแล้ว 6 ล้านล้านบาท ถ้ารัฐบาลบอกว่าจะแก้ขาดทุนโดยการตั้งกองทุนมั่งคั่ง มูลค่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3 แสนล้านบาท จะเอาไปทัดทานการขาดทุนเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงิน 6 ล้านล้านบาท ได้อย่างไร มันไม่มีเหตุผล ที่สำคัญกำไรที่ได้จะเป็นของกระทรวงการคลัง หากขาดทุนก็จะจัดงบประมาณไปให้ ปัญหาคือจะแก้การขาดทุนของแบงก์ชาติได้อย่างไรในเมื่อกำไรจะเป็นของกระทรวงการคลัง มันดูเป็นตรรกะไม่สอดรับกัน

ถามว่าเราขาดทุนเพราะดอลลาร์อ่อนค่าลง ต้องแก้โดยใช้วิธี 1.แปลงสินทรัพย์ให้เป็นอย่างอื่นได้เร็วขึ้น ตอนนี้ก็คือทองคำ หรือเงินสกุลอื่น 2.ถ้าเหตุผลดอลลาร์อ่อนเราก็เลยขาดทุน ทำไมไม่ทำเงินบาทให้อ่อนค่าตาม แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับสนับสนุนให้ค่าบาทแข็งขึ้น ก็เลยสับสนว่าจะแก้ปัญหาขาดทุนแบงก์ชาติได้อย่างไร

พระอาจารย์นพดลกล่าวว่า ทุกรัฐบาลชอบอ้างหนี้กองทุนฟื้นฟู เลยจะมาเอาเงินไปใช้หนี้ แต่เจตนารมณ์คลังหลวงไม่ได้เอาไว้ใช้หนี้อย่างเดียว แต่เอาไว้ในยามภาวะวิกฤตจริงๆ ไม่ได้ใช้เพื่อลงทุนที่มีความเสี่ยง และที่ออกมาคัดค้านไม่ได้เพียงแค่ปกป้องส่วนบริจาค แต่ปกป้องทั้ง 3 บัญชี ส่วนที่รับบริจาคเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อรักษาทั้ง 3 บัญชี ในส่วนของคลังหลวง การแตะของบริจาคไม่ใช่ประเด็นหลัก

พระอาจารย์วิทยากล่าวว่า หลวงตามหาบัวออกมาช่วยชาติตอนปี 2540 ตอนนั้นท่านบาดเจ็บเพิ่งเกิดอุบัติเหตุ ทำไมท่านมองเห็นความสำคัญ และใช้เวลาสิบกว่าปีนำทองคำมาไว้ในคลังหลวงได้ถึง 13 ตัน บัดนี้ท่านนิพพานไปแล้ว เป็นที่ยืนยันไม่ใช่เพียงแค่ว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ แต่คำเทศนาของท่านก็ยืนยันมาตลอดว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมสูงสุด การพูดการแสดงของท่านเป็นความจริงหมด เราเชื่อในการหยั่งรู้ของท่าน เมื่อหลวงตาออกมาปกป้องคลังหลวงไม่ใช่แค่ปกป้องเงินบริจาค แต่ท่านคงเล็งเห็นแล้วว่ามันจะเกิดภัยพิบัติต่อประเทศชาติ ถึงขนาดทำพินัยกรรมสั่งไว้เลย

แต่ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนเข้ามาก็จะเป็นอย่างนี้ จะไปแตะเงินส่วนใหญ่ของคลังหลวงให้ได้ เจตนารมณ์ของหลวงตา คือไม่ให้คนมาฉ้อฉลต้องตกนรก เป็นความหวังดี เพราะเป็นเงินของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ควรใช้เมื่อยังไม่ถึงวิกฤตเพียงพอ และรมว.คลังเข้าสู่ตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ทำไมต้องรีบทำเรื่องนี้ ต้องออกมาพูดให้ชัดว่าทำเพื่ออะไร

พระอาจารย์วิทยากล่าวต่อว่า เงินส่วนนี้พระอรหันต์เป็นผู้ให้ เป็นเงินที่มงคลมาก ควรเก็บไว้ให้ลูกหลานต่อไป เพื่อให้เป็นตัวอย่างว่าอย่ามาแตะตรงนี้เลย ให้ใช้วิธีหาเงินอื่นก่อน ถ้าประเทศจะล่มจมแล้วค่อยมาแตะเราไม่ว่า

อย่างที่รู้กัน การเมืองของเราเต็มไปด้วยความโกง อยากถามพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ เชื่อมั่นได้อย่างไรว่าจะไม่มีการรั่วไหล ตรงนี้เราเป็นห่วงมาก กับคนที่ไม่เชื่อมั่นในความซื่อสัตย์จะปล่อยให้เอาเงินในคลังหลวงไปปู้ยี่ปู้ยำไม่ได้ อยากให้ข้อคิดคนไทยว่าคำพูดของหลวงตา ที่บอกให้ช่วยกันปกปักษ์รักษาคลังหลวง เป็นคำพูดศักดิ์สิทธิ์ และเป็นคำพูดของพระอรหันต์ที่คงไว้ซึ่งจิตอันบริสุทธิ์ แล้ว เรื่องที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไม่มีแน่นอน ฉะนั้นคำพูดของนักการเมือง กับหลวงตามันก็สวนทางกัน ก็อยากให้คนไทยได้คิดว่าระหว่างพระอรหันต์กับคำพูดนักการเมืองในยุคปัจจุบัน ซึ่งเราไม่มีความมั่นใจในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อยากเตือนสติให้คนไทยคิดว่าจะเชื่อใคร อยากให้พิจารณา และช่วยกันปกป้องคลังหลวงอย่างจริงจัง




กำลังโหลดความคิดเห็น