เหลือบตามองไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เห็นแต่รังสีอำมหิตจ้องพิฆาต พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. เพื่อยกเก้าอี้ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตเมียรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้ถึงฝั่งฝันในตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
โดยเอาเรื่องบ่อนที่เจ้าพ่ออ่างรับใบสั่งมามาบีบ แต่การเร่งรีบใช้อำนาจอย่างไร้น้ำใจ ทำให้ทุกอย่างมันไม่เนียน สังคมเขาจับได้ไล่ทันว่าเป็นแผนเอาเก้าอี้ใส่พานให้วงศ์วานว่านเครือของทักษิณ
เพราะถ้ามีความจริงใจในการหาคนผิดมาลงโทษกรณีบ่อนกลางกรุง ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุดว่าเกี่ยวพันใครบ้าง ไม่ใช่ผลสอบยังไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวพันไปถึง ผบ.ตร. แต่เป็ดเหลิมกลับออกมาก้าบๆ ว่าจะได้เห็นโฉมหน้า ผบ.ตร.ใหม่ภายใน 7 วัน
นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์ในการสัญญาณจัดระเบียบข้าราชการให้อยู่ในแถวตามแนวที่รัฐจะจัดให้ หากใครออกนอกแถวก็จะถูกจัดการให้หลุดออกจากวงโคจรของอำนาจ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ก่อการร้ายแดง ผู้ต้องหาติดคดีจำนวนมากเดินตบเท้าเข้ามากินเงินหลวง เดินก้ามโตรับตำแหน่งทางการเมืองกันเป็นแถว
ยุคไพร่ครองเมืองก็เป็นอย่างนี้แหละ หิริโอตตัปปะ ไม่มีในสารานุกรม นอกจากท่องอยู่คำเดียวว่า “อย่าได้แคร์”
แต่สำหรับสังคมไทยเราคงไม่แคร์ไม่ได้ เพราะมีหลายประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่สังคมอาจมองข้ามไป โดยเฉพาะกรณี เจ๋ง ดอกจิก หรือยศวริศ ชูกล่อม ที่ได้ดิบได้ดีเป็น เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธานิสร์ เทียนทอง เตรียมที่จะเสนอให้คนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน
“ทันทีที่เข้ากระทรวง เตรียมเสนอแนวคิดให้ รมช.มหาดไทย โดยจะขอให้นำมวลชนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน ในรูปแบบคล้ายมูลนิธิ เช่นเกิดเหตุไฟไหม้ ก็ให้อาสาป้องกันภัยเสื้อแดงเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อทำตัวให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม”
ฟังดูเหมือนจะดี แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นถึงความน่ากลัวผ่านวิธีคิดนี้หลายประการ
1.เป็นการแบ่งแยกประชาชนอย่างชัดแจ้ง ทั้งๆ ที่งานช่วยเหลือสังคมนั้นเป็นสปิริตจิตอาสาที่ทุกคนมีสิทธิดำเนินการได้ ไม่ใช่จำกัดสิทธิให้เฉพาะคนเสื้อแดง
2.การผลักดันให้คนเสื้อแดงเป็นอาสาป้องกันภัยนั้น จะเป็นการเพิ่มสถานะให้คนเหล่านี้ ทั้งค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม เรียกว่าจากเดิมที่ใช้บัตร นปช.กร่าง ก็เปลี่ยนมาเป็นบัตรอาสาแทน
3.ยังไม่มีความชัดเจนว่า อาสาป้องกันภัยภาคประชาชน ดังกล่าว จะมีวาระซ่อนเร้นให้คนเหล่านี้ติดอาวุธได้ด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าใช้เงินภาษีประชาขนตั้งกองกำลังเสื้อแดงพิทักษ์ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ไม่ใช่ปกป้องบ้านเมือง
หากเกิดปัญหากับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็อาจมีการใช้อาสาแดงเหล่านี้มาเป็นเรดการ์ดเด็ดหัวฝ่ายตรงข้าม นอกเหนือไปจากกลุ่มถ่อยเถื่อนข้างถนนที่พร้อมท้าตีท้าต่อยกับคนในสังคมที่อยู่ฟากตรงข้ามกับรัฐบาล
กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการวิตกจริตเกินเหตุ แต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว ในกรณีที่ยุทธ ตู้เย็น ใช้เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาเป็นกองกำลังส่วนตัวเพื่อเป็นฐานทางการเมืองในช่วง “ระบอบทักษิณ” ครองอำนาจ
วิธีคิดที่ใช้งบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ของรัฐไปรับใช้การเมือง จึงเป็นเรื่องที่อันธพาลในอำนาจรัฐพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่
อาสาป้องกันภัยภาคประชาชนแดงของ เจ๋ง ดอกจิก ที่ยกตัวอย่างว่าจะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น อาจกลายเป็นว่าอาสาป้องกันภัยเหล่านี้ดับไฟไม่เป็นเพราะถนัดแต่เผาเมืองมากกว่า เลวร้ายไปกว่านั้นคือ
อาจถึงขั้นใช้อาวุธราชการปล้นบ้านชิงเมือง สร้าง “รัฐไทยใหม่” ก็ได้...ใครจะรู้?
ได้ถึงฝั่งฝันในตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
โดยเอาเรื่องบ่อนที่เจ้าพ่ออ่างรับใบสั่งมามาบีบ แต่การเร่งรีบใช้อำนาจอย่างไร้น้ำใจ ทำให้ทุกอย่างมันไม่เนียน สังคมเขาจับได้ไล่ทันว่าเป็นแผนเอาเก้าอี้ใส่พานให้วงศ์วานว่านเครือของทักษิณ
เพราะถ้ามีความจริงใจในการหาคนผิดมาลงโทษกรณีบ่อนกลางกรุง ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุดว่าเกี่ยวพันใครบ้าง ไม่ใช่ผลสอบยังไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวพันไปถึง ผบ.ตร. แต่เป็ดเหลิมกลับออกมาก้าบๆ ว่าจะได้เห็นโฉมหน้า ผบ.ตร.ใหม่ภายใน 7 วัน
นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์ในการสัญญาณจัดระเบียบข้าราชการให้อยู่ในแถวตามแนวที่รัฐจะจัดให้ หากใครออกนอกแถวก็จะถูกจัดการให้หลุดออกจากวงโคจรของอำนาจ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ก่อการร้ายแดง ผู้ต้องหาติดคดีจำนวนมากเดินตบเท้าเข้ามากินเงินหลวง เดินก้ามโตรับตำแหน่งทางการเมืองกันเป็นแถว
ยุคไพร่ครองเมืองก็เป็นอย่างนี้แหละ หิริโอตตัปปะ ไม่มีในสารานุกรม นอกจากท่องอยู่คำเดียวว่า “อย่าได้แคร์”
แต่สำหรับสังคมไทยเราคงไม่แคร์ไม่ได้ เพราะมีหลายประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่สังคมอาจมองข้ามไป โดยเฉพาะกรณี เจ๋ง ดอกจิก หรือยศวริศ ชูกล่อม ที่ได้ดิบได้ดีเป็น เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธานิสร์ เทียนทอง เตรียมที่จะเสนอให้คนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน
“ทันทีที่เข้ากระทรวง เตรียมเสนอแนวคิดให้ รมช.มหาดไทย โดยจะขอให้นำมวลชนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน ในรูปแบบคล้ายมูลนิธิ เช่นเกิดเหตุไฟไหม้ ก็ให้อาสาป้องกันภัยเสื้อแดงเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อทำตัวให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม”
ฟังดูเหมือนจะดี แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นถึงความน่ากลัวผ่านวิธีคิดนี้หลายประการ
1.เป็นการแบ่งแยกประชาชนอย่างชัดแจ้ง ทั้งๆ ที่งานช่วยเหลือสังคมนั้นเป็นสปิริตจิตอาสาที่ทุกคนมีสิทธิดำเนินการได้ ไม่ใช่จำกัดสิทธิให้เฉพาะคนเสื้อแดง
2.การผลักดันให้คนเสื้อแดงเป็นอาสาป้องกันภัยนั้น จะเป็นการเพิ่มสถานะให้คนเหล่านี้ ทั้งค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม เรียกว่าจากเดิมที่ใช้บัตร นปช.กร่าง ก็เปลี่ยนมาเป็นบัตรอาสาแทน
3.ยังไม่มีความชัดเจนว่า อาสาป้องกันภัยภาคประชาชน ดังกล่าว จะมีวาระซ่อนเร้นให้คนเหล่านี้ติดอาวุธได้ด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าใช้เงินภาษีประชาขนตั้งกองกำลังเสื้อแดงพิทักษ์ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ไม่ใช่ปกป้องบ้านเมือง
หากเกิดปัญหากับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็อาจมีการใช้อาสาแดงเหล่านี้มาเป็นเรดการ์ดเด็ดหัวฝ่ายตรงข้าม นอกเหนือไปจากกลุ่มถ่อยเถื่อนข้างถนนที่พร้อมท้าตีท้าต่อยกับคนในสังคมที่อยู่ฟากตรงข้ามกับรัฐบาล
กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการวิตกจริตเกินเหตุ แต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว ในกรณีที่ยุทธ ตู้เย็น ใช้เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาเป็นกองกำลังส่วนตัวเพื่อเป็นฐานทางการเมืองในช่วง “ระบอบทักษิณ” ครองอำนาจ
วิธีคิดที่ใช้งบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ของรัฐไปรับใช้การเมือง จึงเป็นเรื่องที่อันธพาลในอำนาจรัฐพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่
อาสาป้องกันภัยภาคประชาชนแดงของ เจ๋ง ดอกจิก ที่ยกตัวอย่างว่าจะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น อาจกลายเป็นว่าอาสาป้องกันภัยเหล่านี้ดับไฟไม่เป็นเพราะถนัดแต่เผาเมืองมากกว่า เลวร้ายไปกว่านั้นคือ
อาจถึงขั้นใช้อาวุธราชการปล้นบ้านชิงเมือง สร้าง “รัฐไทยใหม่” ก็ได้...ใครจะรู้?