เรียกว่าถูกตัวถูกคนทีเดียวสำหรับการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 คน โดยเฉพาะการมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งคาดหมายกันว่าจะได้รับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้นั่งเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อีกด้วย
ขณะเดียวกันการได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อยู่ในสังกัด ซึ่งมันน่าจับตามองไม่น้อย หากพิจารณาจากความเป็นจริงในเวลานี้ในฐานะที่รับบทเป็น “หัวหน้าองครักษ์” พิทักษ์ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งในและนอกสภา
หากไล่เรียงทีละภารกิจก็จะเห็นความเคลื่อนไหวที่ต้องปรากฏออกมาโดยเร็ว เริ่มจากการดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เวลานี้ “ในวงการ” กำลังจับตากันอยู่ว่าจะใช้จังหวะ ช่วงเวลาใดผลักดัน “พี่เมียทักษิณ” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการโดยด่วนอีกด้วย เพราะเหลือเวลาอีกเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 หากพลาดหวังคราวนี้ ก็น่าจะหมดหวังค่อนข้างแน่
อย่างไรก็ดีการจะผลักดัน ให้ “พี่ชาย” ของ พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ไปถึงฝั่งฝันเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญ เพราะถือว่าเป็นเครือญาติคนสุดท้ายที่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายตามเส้นทางของตัวเอง เพราะหากย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆไล่มาตั้งแต่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องที่อุตส่าห์ไปขุดมาจาก “ทหารช่าง” บ้านนอก นอกไลน์ แต่ก็ยังได้ขึ้นไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว ถัดมาก็ดันหลัง “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ที่มีบุคลิก “เซื่องๆซึมๆ” ก็ยังได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม มีการต่ออายุจนเต็มเพดานและในที่สุดก็ได้ก้าวมาถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หรือแม้แต่ “น้องสาวคนเล็ก” อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เถอะ ขนาดไม่ประสีประสาทางการเมืองก็สามารถผลักดันให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศจนได้
ดังนั้นก็เหลือเพียง พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ นี่แหละที่ยังไม่ถึงฝั่ง แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการแผ้วถางทางเอาไว้จนโล่ง แต่เมื่อโชคชะตาพลิกผันเกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้อง “แป็ก” อยู่กับที่จนถึงวันนี้ และหากพิจารณาจากโอกาสครั้งนี้ก็ถือว่าน่าจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และต้องทำอย่างเร่งด่วนดังกล่าว
อย่างไรก็ดีหากจะไปให้ถึงฝัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องเขี่ย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกไปให้พ้นทางเสียก่อน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากที่ผ่านมาก็ถือว่า “ประคองตัว” ได้ดี ภาพที่ออกมาก็ไม่ได้เอนเอียงเข้าไปอยู่ในขั้วอำนาจข้างใดข้างหนึ่งจนน่าเกลียด แม้ว่าจะเป็นอดีต ตท.12 รุ่นเดียวกับ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม
แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่เองที่เพิ่งพบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น นั่นคือการออกมาเปิดโปงเรื่อง “บ่อนการพนันกลางกรุง” และแหล่งอบายมุขขายยาเสพติดในสถานบันเทิง รวมไปถึงการแฉ “นายพลตำรวจ” รับส่วยวันละ 2 ล้านบาท ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จนเป็นที่ฮือฮา
หากพิจารณาผิวเผินแบบไม่คิดอะไรมากก็ถือเป็นเรื่องดี และทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาไม่ให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ระบาดในสังคม แต่ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งหากมองด้วยความ “ระแวง” มันก็เหมือนกับการ “รับงานมาขย่ม” ใครบางคนหรือไม่ โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน เพื่อเป็นสาเหตุทำให้ต้องเด้งแล้วดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ขึ้นมาเสียบแทนแบบเร่งด่วนหรือไม่ มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะเมื่อพิจารณาภารกิจแล้วมันต่อเชื่อมได้ทันทีนั่นคือ เฉลิม ดูแลปราบปรามยาเสพติด อบายมุข ขณะที่ เพรียวพันธุ์ ก็ดูแลยาเสพติด ช่างลงตัวจริงๆ
ขณะเดียวกันเมื่อยอนกลับไปดูความสัมพันธ์ ระหว่าง เฉลิม กับ ชูวิทย์ ก่อนหน้านี้ หากยังจำกันได้ ในช่วงที่การต่อรองในพรรคเพื่อไทยกำลังเข้มข้นกับ “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ “นักรบห้องแอร์” ในสายตาเฉลิม เขาก็ขู่ว่าจะไปตั้งพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ ลงเลือกตั้งใช่หรือไม่ หากมองแบบนี้มันก็เข้าเค้าเหมือนกัน
นอกเหนือจากนี้การเปิดโปงในเรื่องบ่อนการพนัน แหล่งค้ายาเสพติด รับรองว่าแตะไปตรงไหนมันก็ต้องเจอทั้งนั้น และคนที่เป็นจำเลยก็ต้องเป็นตำรวจวันยังค่ำ และยังเชื่ออีกว่าถ้าลองไปคุ้ยที่ “บางบอน” ก็ต้องเจอแน่นอน ส่วนจะใหญ่จะเล็กนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นงานนี้แม้ไม่อยากขัดคอ ขัดอารมณ์หลายคนที่กำลังชื่นชมบทบาทของชูวิทย์ แต่มันก็อดที่จะชี้ให้เห็นถึงความ “ผิดปกติ” ในบางแง่มุมไม่ได้
ขณะเดียวกันอีกภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการก็คือ การ “เช็กบิล”ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เป้าหมาย ที่มีผลในทางการเมือง และเคยถูกสับเปลี่ยนในยุคที่ “ยี้ห้อย” ครอบครองกระทรวงมหาดไทย และที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยประกาศเอาไว้ขณะหาเสียง ก็คง “ต้องทำทันที” เหมือนกัน และแม้ว่าจะไม่ได้รับผิดชอบโยตรงแต่ในฐานะที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาก่อนคงจะร่วมตรวจสอบรายชื่อกับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เคยเป็นอดีตปลัดกระทรวงมาก่อนมันก็ย่อมรู้ลู่ทางดีอยู่แล้ว
และที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การแย้มให้ได้ยินว่ากำลังจะได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ถือว่าน่าจับตาไม่น้อย รวมไปถึงคำกล่าวที่เป็นปริศนาเมื่อถูกถามว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ว่าให้ “รออีก 2 สัปดาห์” ก็น่าจะเป็นสองสัปดาห์ที่ระทึกใจสำหรับบางคนแน่นอน !!