เป็นไปตามคาดสำหรับศึกแรกของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในการแถลงนโยบายรัฐบาล 44 หน้า 8 นโยบายหลัก 16 นโยบายเร่งด่วน ต่อที่ประชุมรัฐสภา ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ที่บทบาทของนายกฯหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ไม่โดดเด่นเข้าทำนอง “ดีแต่อ่าน” อย่างที่ถูกปรามาสไว้ตั้งแต่แรก
เปิดโอกาสให้ “ดาวสภารุ่นเก๋า” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ โชว์ผลงาน รับบท “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ห้ำหั่นกับฝ่ายค้านแบบจวกกันคนละที สวนกันคนละหมัด
เห็นได้จากเวลาที่นายกฯยิ่งลักษณ์ที่นั่งอยู่ในที่ประชุม หลังจากใช้เวลา 2 ชม. 20 นาที ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารแบบไม่มีตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว ก่อนอาศัยจังหวะชุลมุนหลบฉากหน้าออกไปจากห้องประชุมอย่างไร้ร่องรอย หลังทนนั่งฟัง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านร่ายมนต์จับผิดนโยบายรัฐบาลฉบับนี้ได้เพียง 20 นาที โดย “นายกฯปูจ๋า” กลับเลือกที่จะลงมาร่วมกิจกรรมตรวจสุขภาพกับ สสส. บริเวณห้องโถง รัฐสภา กว่าจะกลับเข้าประจำการที่เก้าอี้นายกฯในที่ประชุมเวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงค่ำ และลุกขึ้นตอบโต้ขุนพลของประชาธิปัตย์อีกเล็กน้อยเป็นพิธีด้วยเวลาสั้นๆ
ขณะที่วันที่ 2 ที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับการเมือง-สังคม แม้นายกฯยิ่งลักษณ์จะนั่งอยู่ในที่ประชุมนานและถี่กว่าในวันแรก แต่ตลอดทั้งวันกลับไม่ได้แสดงบทบาทผู้นำรัฐบาลชี้แจงนโยบายด้านต่างๆ ปล่อยให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบรับหน้าเสื่อแทนไปตามระเบียบ
และก็เป็น ร.ต.อ.เฉลิมที่ออกตัวรับแทนในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะในวันแรกกับ “ไฮไลท์สำคัญ” ที่จับตามองกันอย่างประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้ “รุ่นเดอะ” ระดับ “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข และนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประสานเสียงเปิดหัวอ้างแนวทางการสร้างความปรองดอง พร้อมโยนหินถามทางในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมา
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดักคอกันก่อนหน้านี้ ถามกันตรงๆว่า ตกลงรัฐบาลนี้จะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร วานตอบให้ชัดเจน จน “สารวัตรเหลิม” เกือบไปไม่เป็นต้องอ้อมแอ้มแถเข้าจอดข้างทาง อ้างว่า “ไม่เค๊ย...ไม่เคย” พูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดีอาญา แม้แต่น้อย พร้อมนั่งยันนอนยันว่าไม่ได้มีจุดประสงค์แฝงในการ“ฟอกขาว” ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
พ่วงมาถึงประเด็น “จงรักภักดี” ที่พรรคประชาธิปัตย์ แตะมือกับพรรคภูมิใจไทย ดาหน้ากันไล่ถล่มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถามถึงการแก้ มาตรา 112 อันเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบัน ต้อน “สารวัตรเหลิม” เข้ามุม ออกหมัดไม่ถนัดนัก จนที่สุดต้องประกาศลั่นกลางสภาฯ “พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีแนวคิดแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เรื่องการหมิ่นสถาบันฯ เพราะเป็นเครื่องมือในการปกป้องสถาบันฯ พรรคเพื่อไทยจะไม่เข้าไปแตะต้องเด็ดขาด”
รวมทั้งจุดประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ที่กำหนดให้มีกรรมการหนึ่งชุดขึ้นมายกร่าง โดยยืนยันหนักแน่นว่า พรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนให้มีการตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ ส.ส.ร.3ขึ้นมาทำหน้าที่ โดยผ่านการเลือกตั้งตัวแทนทั้ง 77 จังหวัด บวกด้วยกูรูด้านกฎหมายอีก 22 คน รวมเป็น 99 อรหันต์มาชำแหละยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมย้ำว่าจะเป็นเพียงวิธีเดียวที่พรรคเพื่อไทยเลือกสำหรับการแก้รัฐธรรมนูญ แถมตั้งเวลา “จุดชนวน” ไว้อีก 6 เดือน เมื่อถึงฤดูกาลเปิดสภาฯ สมัยนิติบัญญัติ ที่ ส.ส.-ส.ว.จะมานั่งว่ากันเรื่องกฎหมายล้วนๆ
ซึ่งที่ “สารวัตรเหลิม” ถึงการแก้รัฐธรรมนูญนั้น แม้จะถูกต้องตามหลักการข้อกฎหมายทุกประการ แต่คำถามมีว่า คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิมมีน้ำหนักมากแค่ไหน ก็สามารถตอบแทนได้ทันทีว่า ไม่ได้อยู่ในระดับตัดสินใจอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามย่อมต้องผ่านการอนุมัติเห็นชอบโดย “นายกฯสั่งการ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ดี
โดยเฉพาะประเด็นร้อนๆอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บัดนี้อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์วัดทิศทางลม ที่สุดท้ายอาจเกิดรายการ “หักดิบ” แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เปิดทางให้มีการแก้กฎหมายสูงสุดนี้ได้โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการยกร่างขึ้นมา หรือแม้แต่ทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นประชาชนให้ยุ่งยากใจ
บทบาทของ “สารวัตรเหลิม” ใน 2 วันที่ผ่านมาจะเสมือนปฏิบติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีกลายๆ แต่เอาเข้าจริงก็มีภารกิจเพียงแค่ “ม้าขาว” ที่อุ้ม “นารี” อย่างนายกฯยิ่งลักษณ์ ผ่านการประชุมสภาฯครั้งนี้เท่านั้น วาทกรรมที่กล่าวไว้ในการประชุมหนนี้ก็ต้องการเพียงแค่พูดให้ดูดี เอาตัวรอดจากสถานการณ์ไปให้ได้เท่านั้น ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างสรุปว่าเป็นแนวทางของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้
อย่างไรก็ตามกับผลงานที่ไม่ต่างจาก "ตัวแสดงแทน" ในละครฉากนี้ น่าจะสร้างความพอใจให้กับ “นายใหญ่” ไม่มากก็น้อย และทำให้อดีตตำรวจมือปราบคนนี้คงไม่พลาดงานสำคัญได้เป็น รองนายกฯคุม “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” อย่างที่วาดหวังไว้
ถือว่าถูกหวยครั้งใหญ่ในบั้นปลายชีวิตการเมือง
เปิดโอกาสให้ “ดาวสภารุ่นเก๋า” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ โชว์ผลงาน รับบท “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ห้ำหั่นกับฝ่ายค้านแบบจวกกันคนละที สวนกันคนละหมัด
เห็นได้จากเวลาที่นายกฯยิ่งลักษณ์ที่นั่งอยู่ในที่ประชุม หลังจากใช้เวลา 2 ชม. 20 นาที ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารแบบไม่มีตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว ก่อนอาศัยจังหวะชุลมุนหลบฉากหน้าออกไปจากห้องประชุมอย่างไร้ร่องรอย หลังทนนั่งฟัง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านร่ายมนต์จับผิดนโยบายรัฐบาลฉบับนี้ได้เพียง 20 นาที โดย “นายกฯปูจ๋า” กลับเลือกที่จะลงมาร่วมกิจกรรมตรวจสุขภาพกับ สสส. บริเวณห้องโถง รัฐสภา กว่าจะกลับเข้าประจำการที่เก้าอี้นายกฯในที่ประชุมเวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงค่ำ และลุกขึ้นตอบโต้ขุนพลของประชาธิปัตย์อีกเล็กน้อยเป็นพิธีด้วยเวลาสั้นๆ
ขณะที่วันที่ 2 ที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับการเมือง-สังคม แม้นายกฯยิ่งลักษณ์จะนั่งอยู่ในที่ประชุมนานและถี่กว่าในวันแรก แต่ตลอดทั้งวันกลับไม่ได้แสดงบทบาทผู้นำรัฐบาลชี้แจงนโยบายด้านต่างๆ ปล่อยให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบรับหน้าเสื่อแทนไปตามระเบียบ
และก็เป็น ร.ต.อ.เฉลิมที่ออกตัวรับแทนในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะในวันแรกกับ “ไฮไลท์สำคัญ” ที่จับตามองกันอย่างประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้ “รุ่นเดอะ” ระดับ “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข และนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประสานเสียงเปิดหัวอ้างแนวทางการสร้างความปรองดอง พร้อมโยนหินถามทางในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมา
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดักคอกันก่อนหน้านี้ ถามกันตรงๆว่า ตกลงรัฐบาลนี้จะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร วานตอบให้ชัดเจน จน “สารวัตรเหลิม” เกือบไปไม่เป็นต้องอ้อมแอ้มแถเข้าจอดข้างทาง อ้างว่า “ไม่เค๊ย...ไม่เคย” พูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดีอาญา แม้แต่น้อย พร้อมนั่งยันนอนยันว่าไม่ได้มีจุดประสงค์แฝงในการ“ฟอกขาว” ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
พ่วงมาถึงประเด็น “จงรักภักดี” ที่พรรคประชาธิปัตย์ แตะมือกับพรรคภูมิใจไทย ดาหน้ากันไล่ถล่มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถามถึงการแก้ มาตรา 112 อันเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบัน ต้อน “สารวัตรเหลิม” เข้ามุม ออกหมัดไม่ถนัดนัก จนที่สุดต้องประกาศลั่นกลางสภาฯ “พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีแนวคิดแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เรื่องการหมิ่นสถาบันฯ เพราะเป็นเครื่องมือในการปกป้องสถาบันฯ พรรคเพื่อไทยจะไม่เข้าไปแตะต้องเด็ดขาด”
รวมทั้งจุดประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ที่กำหนดให้มีกรรมการหนึ่งชุดขึ้นมายกร่าง โดยยืนยันหนักแน่นว่า พรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนให้มีการตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ ส.ส.ร.3ขึ้นมาทำหน้าที่ โดยผ่านการเลือกตั้งตัวแทนทั้ง 77 จังหวัด บวกด้วยกูรูด้านกฎหมายอีก 22 คน รวมเป็น 99 อรหันต์มาชำแหละยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมย้ำว่าจะเป็นเพียงวิธีเดียวที่พรรคเพื่อไทยเลือกสำหรับการแก้รัฐธรรมนูญ แถมตั้งเวลา “จุดชนวน” ไว้อีก 6 เดือน เมื่อถึงฤดูกาลเปิดสภาฯ สมัยนิติบัญญัติ ที่ ส.ส.-ส.ว.จะมานั่งว่ากันเรื่องกฎหมายล้วนๆ
ซึ่งที่ “สารวัตรเหลิม” ถึงการแก้รัฐธรรมนูญนั้น แม้จะถูกต้องตามหลักการข้อกฎหมายทุกประการ แต่คำถามมีว่า คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิมมีน้ำหนักมากแค่ไหน ก็สามารถตอบแทนได้ทันทีว่า ไม่ได้อยู่ในระดับตัดสินใจอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามย่อมต้องผ่านการอนุมัติเห็นชอบโดย “นายกฯสั่งการ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ดี
โดยเฉพาะประเด็นร้อนๆอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บัดนี้อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์วัดทิศทางลม ที่สุดท้ายอาจเกิดรายการ “หักดิบ” แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เปิดทางให้มีการแก้กฎหมายสูงสุดนี้ได้โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการยกร่างขึ้นมา หรือแม้แต่ทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นประชาชนให้ยุ่งยากใจ
บทบาทของ “สารวัตรเหลิม” ใน 2 วันที่ผ่านมาจะเสมือนปฏิบติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีกลายๆ แต่เอาเข้าจริงก็มีภารกิจเพียงแค่ “ม้าขาว” ที่อุ้ม “นารี” อย่างนายกฯยิ่งลักษณ์ ผ่านการประชุมสภาฯครั้งนี้เท่านั้น วาทกรรมที่กล่าวไว้ในการประชุมหนนี้ก็ต้องการเพียงแค่พูดให้ดูดี เอาตัวรอดจากสถานการณ์ไปให้ได้เท่านั้น ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างสรุปว่าเป็นแนวทางของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้
อย่างไรก็ตามกับผลงานที่ไม่ต่างจาก "ตัวแสดงแทน" ในละครฉากนี้ น่าจะสร้างความพอใจให้กับ “นายใหญ่” ไม่มากก็น้อย และทำให้อดีตตำรวจมือปราบคนนี้คงไม่พลาดงานสำคัญได้เป็น รองนายกฯคุม “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” อย่างที่วาดหวังไว้
ถือว่าถูกหวยครั้งใหญ่ในบั้นปลายชีวิตการเมือง