ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์เลือก “วสันต์” นั่งประธานศาล ไร้คู่แข่ง หลัง “จรูญ” เสนอชื่อ เจ้าตัวแย้มอยู่ไม่ครบ 6 ปี ลั่นจัดระเบียบเสร็จไปเลย ขอบคุณตุลาการเลือกนั่งเก้าอี้ ปัดล้างบางเจ้าหน้าที่ ยันไม่เคยกัดใคร ลั่นไม่ล้วงลูกงานบริหารโยนเลขาฯสำนักงานคุม เร่งพีอาร์สื่อ ชี้ภาพใกล้ชิดปชป.แค่คนมองกันไปเอง แนะดูคำวินิจฉัย “สุพจน์” ชูเหมาะทั้งปวง
วันนี้ (24 ส.ค.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี นายชัช ชลวร ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมได้มีการประชุมเพื่อคัดเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แทนนายชัช ที่ลาออกไป ซึ่งภายหลังการประชุม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุว่า ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ เลือกนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะได้แจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 204 วรรคสามและวรรคสี่ต่อไป
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 204 วรรคสาม และสี่ ตามที่เอกสารระบุถึงนั้นเป็นขั้นตอน ที่ตุลาการฯที่ได้คัดเลือกมาแล้วคัดเลือกผู้ทำหน้าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ แล้วให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญ
โดยรายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคัดเลือกดังกล่าวนายจรูญ อินทรจาร ตุลาการ ได้เป็นผู้เสนอชื่อนายวสันต์ โดยที่ไม่มีชื่อตุลาการคนใดเสนอตัวหรือเสนอชื่อผู้อื่นเข้าแข่งขัน จากนั้นประธานในที่ประชุมก็ได้ขอเสียงรับรองซึ่งนายวสันต์ ก็ได้เสียงรับรองเป็นเอกฉันท์ 8 เสียง ทำให้ไม่ต้องมีการลงคะแนน โดยนายวสันต์ ได้ให้คำยืนยันต่อที่ประชุมว่า จะไม่อยู่ในตำแหน่งประธานฯจนครบวาระของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยังเหลืออีกราว 6 ปี
“มีการถามถึงความตั้งใจในการที่จะดำรงตำแหน่งนี้ ซึ่ง นายวสันต์ ก็บอกกับที่ประชุม ว่า เดิมตั้งใจจะอยู่ในตำแหน่งตุลาการฯเพียงแค่ต้นปีหน้า แต่เมื่อเพื่อนตุลาการฯมอบหมายภาระนี้มาให้ก็จะขอเข้ามาจัดแถวงานในสำนักงานให้ตรงเป็นระเบียบเรียบร้อย และอย่างที่พวกท่านทราบผมมาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว เพราะฉะนั้นพวกท่านต้องช่วยผม ถ้าผมจัดระเบียบตรงนี้เสร็จเรียบร้อย ผมก็ไปทันที จะไม่อยู่จนครบวาระ” แหล่งข่าวกล่าวถึงคำมั่นสัญญาที่นายวสันต์ได้ให้ต่อที่ประชุม
ด้าน นายวสันต์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ขอบคุณเพื่อนตุลาการที่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ประธานซึ่งมีภาระงานอีกมากที่ต้องสะสางปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องความสามัคคีในองค์กร ซึ่งก็ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเกรงว่าตนมาเป็นประธานแล้วจะมาล้างบาง แม้ตนเองจะถูกมองว่าเป็นคนดุแต่ก็ประนีประนอมพอสมควรและไม่เคยกัดใคร รวมทั้งมองว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องทำงานเป็นบอร์ดกำกับดูแลสำนักงานเท่านั้นซึ่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเจ้าหน้าที่ก็คือ เลขาธิการสำนักงาน ซึ่งตนไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปล้วงลูกสำนักงานฯทั้งในเรื่องการบริหารงบและการบริหารงานบุคคล นอกจากนี้ อีกงานที่สำคัญของศาลรัฐธรรมนูญคือการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ ซึ่งก็จะเปิดตัวองค์กรให้ประชาชนรู้จักบทบาทของศาลมากขึ้นโดยผ่านทางสื่อ เพื่อให้สังคมเกิดความเข้าใจศาลมากขึ้น
“สมัยที่ผมเป็นอธิบดีผู้พิพากษาภาคเคยมีคนมาพูดกับผมว่าตอนที่รู้จักผมครั้งแรก รู้สึกว่าผมเป็นคนที่ดุมากจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อรู้จักกันจริงๆแล้วเขารู้สึกว่าผมเป็นคนที่ใจดี ให้คำปรึกษาได้ ซึ่งถ้าผมใจร้ายอย่างที่หลายคนมองว่าผมดุ ถามว่าถึงวันนี้ทำไมจึงยังมีลูกศิษย์ลูกหามาขอคำปรึกษาอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ต้องกลัว ถ้าเราได้พบปะและพูดคุยทำความเข้าใจกันมากขึ้น ก็เชื่อว่าจะทำให้การทำงานลุล่วงไปได้” นายวสันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า การที่มีภาพลักษณ์ที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์จะมีผลต่อการทำหน้าที่ประธานฯหรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า เป็นการมองกันไปเองกับคนในพรรคเพื่อไทยหลายคนก็รู้จัก จึงอยากให้ดูคำวินิจฉัยเป็นหลัก และอยากให้สังคมเข้าใจว่าการที่เรามาทำหน้าที่ตัดสินคนไม่ใช่เรื่องสนุก และอยากให้สังคมยอมรับในเรื่องของความถูกต้องมากกว่าความถูกใจ
ขณะที่ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงเหตุผลส่วนตัวที่เลือกนายวสันต์ ว่า นอกจากเห็นว่านายวสันต์มีความอาวุโสแล้วยังเห็นว่า เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง มีทั้งความรู้ความสามารถทั้งในเรื่องการบริหารและงานคดี อีกทั้งสามารถทำให้ประชาชนสามารถเชื่อมั่นได้
ส่วนที่เจ้าหน้าที่ศาลเกรงกลัวในเรื่องของการล้างบางนั้น นายสุพจน์ กล่าวว่า เชื่อจากที่รู้จักนายวสันต์มาไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น นายวสันต์ เป็นผู้พิพากษามา ตอนนี้เป็นตุลาการมีหน้าที่ต้องให้ความยุติธรรม ซึ่งปัญหาของสำนักงานขณะนี้ก็คือเรื่องความสามัคคีถามาล้างบางจะเกิดความสามัคคีและยุติธรรมได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายวสันต์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญลงมาก่อนจึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ระหว่างนี้นายชัช ก็ยังคงทำหน้าที่ประธานในการประชุมไปก่อนเพราะเรื่องคดี และเรื่องสำนักงานเป็นเรื่องที่รอไม่ได้