“ดร.ปราโมทย์” หวั่นปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปลามมายังไทย ซึ่งการใช้นโยบายประชานิยมทำชาติล่มจมแน่ เตือนอย่าประมาท พร้อมเชื่อ ปชป.สูญพันธุ์แล้ว อย่าหวังที่จะมากำจัดรัฐบาลได้ แต่คนที่จะล้มได้ตามขบวนการรัฐสภา คือ พวกรัฐบาลเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนเคาะข่าว”
วันที่ 11 ส.ค.เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.ศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง ASTV มี นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ดร.ปราโมทย์ กล่าวว่า การกระชับอำนาจของรัฐบาลใหม่ การโยกย้ายข้าราชการเกิดขึ้นแน่ แต่ขึ้นอยู่กับหมากของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ในรัฐมนตรีก็มีไม่เลวอยู่หลายคน ที่ต้องตำหนิ คือ ยอมเป็นเครื่องมือของคนพาล เพื่อความก้าวหน้า แต่ก็ไม่อาจตำหนิได้ว่าเป็นคนเลว อย่างนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ยังไงๆ ก็ไม่เลวไปกว่าคณะนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล และ นายเนวิน ชิดชอบ แน่นอน เพราะน่าจะตระหนักถึงศักดิ์ศรีมหาดไทยที่มีความสำคัญต่อบ้านเมือง และหากทำดีก็เป็นประโยชน์ของพรรค แต่เวลาจะเอื้ออำนวยอยู่ได้นานหรือไม่
หลายตำแหน่งก็เห็นชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ อย่างเกี่ยวกับเรื่องเขมร เรื่องหุ้น คดีความ พลังงาน เหล่านี้เป็นต้น คอยดูภายใน 2-3 เดือนนี้ ต้องย้ายทูตไทยที่กัมพูชา ถึงบอกล่วงหน้าก็หน้าด้านย้าย เพราะต้องให้คนที่ให้ผลประโยชน์จริงๆ
ดร.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์รัฐไทยใหม่ ตนเชื่อว่า พวกซ้ายอกหักจากพรรคคอมมิวนิสต์ และพวกกระบวนการไพร่ ไม่ใช่โดยตำแหน่ง หน้าตา แต่ไพร่โดยภาษา กิริยา และความประพฤติ เมื่อยอมรับว่า ตัวเองเป็นไพร่เห็นทีจะต้องสงเคราะห์ให้เป็นคางคกขึ้นวอ แต่มันไม่ใช่วอจริงๆ เขาคงอยากขึ้นวออยู่ ซึ่งก็ต้องอาศัย พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องมีการต่อสู้ภายใน
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านโดยพรรคประชาธิปัตย์ จะเข้มแข็งพอที่จะควบคุมรัฐบาลหรือไม่ ดร.ปราโมทย์ กล่าวว่า ประชาธิปัตย์สูญพันธุ์ไปแล้ว ต่อไปเลือกตั้งจะได้น้อยลงๆ ไม่มีแล้วภาพพจน์อย่างเดิม ภาคใต้จะไม่มี monopoly ภาคอีสานไม่มีวันแหยมเข้าไปได้เลย ประชาธิปัตย์ทำตัวเหมือนแก๊งเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่เป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ น่าจะดำเนินการให้ตัวเองเป็นพรรคการเมือง ประชาธิปัตย์เปลี่ยนเลขาธิการมา 13-14 คน 10 คนที่ออกไปก็หันมาด่าพรรคทั้งนั้น แสดงว่า เป็นพรรคที่ไม่มีอุดมการณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะว่าตัวเลขาฯคือ คนที่จะต้องบริหารพรรคให้ดำเนินไปตามอุดมการณ์พรรค เรื่องการตรวจสอบคาดหวังไม่ได้ หรือต่อให้ประชาธิปัตย์ดีแค่ไหน ตรวจสอบอย่างไร พอลงคะแนนก็เป็นอย่างเก่า ตามขบวนการในสภา คนที่ทำให้รัฐบาลล้มได้ คือพวกเขาเอง อาจจะมีงูเห่า หรืออยากทำดีสักครั้งหนึ่ง
ดร.ปราโมทย์ กล่าวถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในประเทศอังกฤษ ว่า ต่างกับของไทยเมื่อปีที่แล้ว ของเรานักการเมืองเผาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อการกลับมามีอำนาจ
ส่วนของอังกฤษจะเห็นว่า ระบบการเมืองเขารับผิดชอบ ถึงแม้ว่าความเสียหายจะกระจายไป แต่มันเป็นเรื่องซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของโลก ในเรื่องใหญ่ซึ่งประเทศที่เจริญ มีคนจากประเทศที่ไม่เจริญเข้าไปแสวงหาโอกาส เป็นชนกลุ่มน้อย ยากจน ถูกบีบคั้น ส่วนหนึ่ง ส่วนที่สองในภาพใหญ่ จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่ฝรั่งกลัวว่าจะจริง คือ The Clash of Civilizations เป็นการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมมุสลิมกับวัฒนธรรมคริสเตียน น่าจะมีส่วนเติมเชื้อเพลิง
หรือไม่ก็พวกอัลกออิดะห์ก็ตามที่ถูกรังแก หรืออังกฤษโกหกเรื่องอิรักแล้วไปถล่มอิรัก เพราะเป็นลูกน้องอเมริกา มันเป็นเชื้อเพลิง แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ มองว่าพวกนี้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เลยอะลุ้มอล่วย แต่ เดวิด แคเมอรอน (นายกฯอังกฤษ) มองว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาของพวกอาชญากร รัฐบาลจะยอมไม่ได้ ต้องถอนรากถอนโคน ปัญหานี้คงต้องใช้เวลา ตราบใดที่ความยุติธรรมไม่มีในโลก กรณีนี้ไม่เหมือนในไทยไม่ใช่เป็นการมาแย่งอำนาจ แต่อันนี้เป็นโลกของมหานครที่มีคนกลุ่มน้อยถูกบีบคั้น และมีส่วนผสมกับความยากจน เหลื่อมล้ำ เชื้อชาติ หลายอย่างรวมกัน
ดร.ปราโมทย์ ยังกล่าวอีกว่า โมเดลที่เกิดในลอนดอนเป็นไปได้ที่จะมีการเอาอย่างทั่วยุโรป เว้นแต่รัฐบาลจะตั้งสติได้ เลือกใช้วิธีที่ถูกต้อง แต่เกรงว่า ยุโรป อเมริกา กำลังเผชิญหน้ากับการแก้แค้น ซึ่งบางทีก็เป็นธรรมะจัดสรรในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งยุโรปน่าห่วงสุด ยิ่งกว่าอเมริกา เพราะอเมริกามีหลายเมืองใหญ่ พึ่งรัฐบาลท้องถิ่นมากกว่ารัฐบาลกลาง แต่ละรัฐยังแข่งขันกันได้ ต่างจากยุโรป และกลัวว่าจะเดือดร้อนมาถึงไทย ซึ่งประชานิยมทำล่มจมแน่
ใจจริงตนอยากให้มีเลือกตั้งเสรีเอาประชานิยมให้ขึ้นมาถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลย แล้ว 3-4 ปีก็จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ ก็จะถูกประชาชนเหยียบตายไปเอง แต่ตอนนั้นก็ได้บทเรียนประเทศชาติล้มละลาย ตนคิดว่าอย่าประมาท ไม่ราบรื่นแน่ โอกาสที่จะแย่มี โอกาสที่จะฟลุกมีน้อย โอกาสที่จะบรรเทาความเสียหายได้ก็มีแต่ต้องใช้สติปัญญาอย่างมาก