“เทพเทือก” ซัดสื่อแดงบิดเบือนเอกสารลับ ศอฉ.สั่งทหารใช้ปืนจริง หวังป้ายสีให้ ปชช.เข้าใจผิด เชื่อรัฐบาลปูแดงเริ่มขบวนการเช็กบิล เหตุมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ และผู้ต้องหาอยู่ในสังกัดพรรครัฐบาล ลั่นพร้อมต่อสู้เต็มที่
วันนี้ (7 ส.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ.ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้มีการเปิดเผยเอกสารลับว่า ศอฉ.สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปฏิบัติการต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 10-13 เม.ย.53 ว่า ตนไม่สามารถคาดเดาเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้รายงานข่าวนี้ แต่เห็นว่าอาจทำให้ประชาชนเข้าใจความจริงในเรื่องนี้คลาดเคลื่อนและเข้าใจผิดต่อผู้สั่งการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการได้ ตนจึงต้องการชี้แจงว่า 1.เอกสารคำสั่งการได้ตัดวันที่ที่สั่งการออกไปไม่นำมาแสดงไว้ แต่เขียนคำบรรยายว่าสั่งการในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 53 โดยเน้นว่าเป็นคำสั่งอนุญาตใช้ปืนในเหตุการณ์คืนพื้นที่ 10 เมษาฯ พร้อมกับ ขีดเส้นใต้สีแดง โดยเน้นข้อความในคำสั่งให้ใช้อาวุธทำการยิงเมื่อปรากฏภัยคุกคาม หรือกลุ่มติดอาวุธให้ใช้อาวุธต่อเป้าหมายตามข้อ 2.1 ในระยะ 30-50 เมตร และให้เล็งส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมา หากผู้อ่านมีเวลาอ่านเฉพาะส่วนที่พาดหัวข่าว ที่เน้นขีดเส้นใต้สีแดงไว้ จะเข้าใจเอาได้ว่าในวันที่ 10 เมษายน 53 ทาง ศอฉ.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงประชาชน
นายสุเทพกล่าวว่า คำสั่งปฏิบัติการที่นำมาลงแสดงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นคำสั่งที่ลงวันที่ 13 เมษายน 2553 สั่งการหลังเกิดเหตุกรณีคนชุดดำนำอาวุธสงครามมาฆ่าเจ้าหน้าที่ และประชาชน เมื่อ 10 เมษายน 53 เป็นคำสั่งที่ออกมาภายหลังเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนั้น ถึง 3 วัน ซึ่งเหตุที่ ศอฉ.ต้องสั่งการเช่นนี้เพราะเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย.มีคนชุดดำแฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง นำอาวุธสงครามร้ายแรงชนิดต่างๆ มายิงใส่เจ้าหน้าที่ และประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน บาดเจ็บประมาณ 800 คน ถือเป็นความสูญเสียที่รุนแรง ศอฉ.จำเป็นต้องระงับยับยั้งป้องกันไม่ให้เหตุเกิดขึ้นอีก แต่ปรากฏว่าหลังจากวันที่ 10 เม.ย.เหตุการณ์รุนแรงยังไม่ยุติ คนชุดดำถืออาวุธร้ายแรงยังปะปนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ทำการก่อเหตุร้ายต่อเนื่องแทบทุกวัน ศอฉ.จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ “ปืนลูกซอง” ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ร้ายแรง สามารถควบคุมการยิงได้เพื่อป้องกันตัวเจ้าหน้าที่เอง และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้รอดพ้นจากภัยการคุกคามของคนชุดดำที่ติดอาวุธ
อีกทั้งในคำสั่งยังระบุเรื่องการควบคุมวิถีกระสุนควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยให้ดำเนินการโดยไม่มุ่งประสงค์ต่อชีวิตของเป้าหมาย เพื่อระงับ ยับยั้งคนร้ายที่ถืออาวุธคุกคาม ชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชน ต้องการเพียงเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงมีคำสั่งชัดเจนว่า ในการใช้อาวุธให้เล็งยิงส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมา
“ขอย้ำว่า สำเนาคำสั่งที่พาดหัวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น เป็นคำสั่งการในวันที่ 13 เม.ย. ไม่ใช่ 10 เม.ย.อย่างที่เขาพยายามจะให้ผู้อ่านเข้าใจผิด และการสั่งการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ “ปืนลูกซอง” มุ่งหมายเพื่อควบคุมความสูญเสีย ไม่ต้องการให้เสียหายร้ายแรง”
นอกจากนี้ยังมีการนำสำเนาคำสั่งวันที่ 10 และ 13 เม.ย.มาลงแสดงไว้ แต่ได้มีการขีดเส้นใต้เฉพาะข้อความบางส่วน เพื่อให้คนอ่านเข้าใจผิดในทำนองว่า ศอฉ.ตั้งใจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ นอกจากนั้นยังอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ว่าเป็นคำสั่งการในเหตุการณ์เดียวกัน ทั้งที่ความจริง ศอฉ.ได้สั่งการห้ามเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธโดยเด็ดขาด ให้ใช้เฉพาะอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน คือ โล่ กระบอง รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และปืนลูกซองที่ใช้กระสุนยาง ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการควบคุมฝูงชนที่เป็นสากลอย่างเคร่งครัด
แต่ปรากฏว่า ในวันที่ 9 เมษายน 53 กลุ่มผู้ชุมนุมนับหมื่นคนได้บุกโจมตีเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์อยู่ที่สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว ใช้ก้อนหิน ไม้ มีด เป็นอาวุธทำร้าย เจ้าหน้าที่บาดเจ็บนับร้อยคน และได้ยึดอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ไปเป็นจำนวนมาก การที่มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ที่สถานีไทยคม เมื่อ 9 เม.ย.53 และอาวุธประจำกายถูกฝ่ายผู้ชุมนุมยึดไปหลายร้อยรายการ ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจมีการนำอาวุธนั้นมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ศอฉ.จึงมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธได้ แต่ต้องใช้เพื่อการป้องกันตนเองและประชาชนที่เจ้าหน้าที่ให้ความคุ้มครองเท่านั้น
“ในคำสั่งที่อนุญาตให้ใช้อาวุธเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่และประชาชนนั้น ได้สั่งการชัดเจนว่า ใช้อาวุธได้เฉพาะในกรณีที่มีผู้กระทำผิดซึ่งหน้า และใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง และประชาชน เท่านั้น และระบุชัดเจน ใช้อาวุธเฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายที่ใกล้จะถึงตัวเป็นอันตราย ต่อชีวิตเจ้าหน้าที่ และ ประชาชนที่สำคัญ ได้สั่งการชัดเจนว่า “หากจำเป็นต้องใช้อาวุธ ต้องใช้ตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้”
นายสุเทพยืนยันว่า ศอฉ.ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ปกป้องชีวิตของเจ้าหน้าที่ และประชาชนให้รอดพ้นจากภัยคุกคามจากผู้ก่อเหตุร้าย การสั่งการต่างๆ ของ ศอฉ.เป็นไปเพื่อเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง มุ่งหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่มีเจตนาร้ายต่อประชาชน ศอฉ.ได้กำหนดมาตรการในการระงับ ยับยั้งเหตุร้ายต่างๆ โดยพยายามให้มีความเสียหายน้อยที่สุด และเมื่อเหตุการณ์ร้ายนั้นผ่านพ้นไปเป็นเวลาปีเศษแล้ว รัฐบาลชุดที่แล้วได้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นคนกลางทำการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อรายงานต่อประชาชนต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเชื่อมโยงกับบรรดาผู้ก่อเหตุ และผู้ต้องหาก่อการร้ายหลายคนก็ได้เป็น ส.ส.ในสังกัดพรรครัฐบาล ผู้ต้องหาก่อการร้ายบางคนอาจได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลเป็นผู้กุมอำนาจรัฐจะสั่งการให้สอบสวนดำเนินคดีต่อตนซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสั่งการในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งตนพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรมทุกข้อหา