หน.พรรครักประเทศไทย เปิดแถลงข่าวโต้แย่งที่นั่งพรรคชาติไทยพัฒนา เสริมฮวงจุ้ย โวยสื่อเขียนไปเอง แขวะเลขาสภาอยู่นานเกิน จัดที่นั่งในสภามุ่งเอาใจแต่พรรคใหญ่-อคติพรรคเล็ก ลั่น 500 ส.ส.มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ยันให้คำนึงถึงหลักจารีตประเพณี ขู่ใครมาแย่งเจอนั่งทับแน่
วันนี้ (3 ส.ค.) ที่พรรครักประเทศไทย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ได้แถลงข่าวปฏิเสธกรณีที่ได้ย้ายป้ายชื่อและเปลี่ยนที่นั่งของพรรครักประเทศไทย กับพรรคชาติไทยพัฒนา ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้ (2 ส.ค.) ว่า ตนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องฮวงจุ้ย หรือหลักโหราศาสตร์ ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว และยืนยันว่า เรื่องนี้ตนไม่เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องฮวงจุ้ย ไม่มีนักข่าวคนไหนโทรศัพท์มาสอบถาม แต่ไปเขียนเอง พร้อมขอตำหนิ นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่า อาจมีอคติ ที่จัดที่นั่งให้พรรคของตนนั่งหลังสุดของห้องประชุม ไม่ถูกต้องตามจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติ ซึ่งเคยจัดฝั่งขวาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ฝั่งซ้ายเป็นที่นั่งพรรคฝ่ายค้าน และตนควรได้นั่งตรงกลาง จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงจัดที่นั่งเช่นนี้ รวมทั้งการจัดให้พรรคชาติไทยพัฒนานั่งตรงกลางห้องประชุม ทั้งที่จริงแล้วตามหลักพรรคชาติไทยพัฒนา ควรนั่งฝั่งขวา เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อีกทั้ง ส.ส.ทุกคนมีความเท่าเทียมได้รับเงินเดือนเท่ากัน จึงขอเรียกร้องให้จัดที่นังใหม่ ทั้งนี้ ระหว่างแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้นำแผนผังที่นั่งของพรรคการเมืองต่างๆ ในห้องประชุมสภามาแสดงต่อสื่อมวลชนด้วย
“เลขาสภาอยู่นานเกินไปหรือเปล่า มีอคติกับพรรคเล็ก อย่าเห็นพรรคเล็กเป็นแค่ตัวประกอบ ผมขยันมาแต่เช้า ก็มีสิทธิเลือกที่นั่ง ซึ่งที่ไหนก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น เพราะเป็นระบอบประชาธิปไตย และเป็นจารีตประเพณีที่เคยจัดกันมา” นายชูวิทย์ กล่าวพร้อมทั้งนำหนังสือประวัติการประชุมรัฐสภาเล่มใหญ่ มาเปิดโชว์ต่อสื่อมวลชนด้วย
หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวต่อว่า ตนได้ศึกษาประวัติศาสตร์การประชุมสภา ทุกพรรคการเมืองในสภาเท่าเทียมกัน เพราะมาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน ในการประชุมครั้งต่อไป วันที่ 5 ส.ค.เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ตนจะมาแต่เช้า และจะนั่งที่เดิม หากใครนั่งอยู่ก่อน ก็จะนั่งทับคนนั้นเลย อย่าหาว่าไม่เกรงใจ ไม่ต้องคำนึงอาวุโส ไม่ใช่ว่าไม่เกรงใจ แต่เป็นเพราะทุกคนได้รับเงินเดือนเท่ากัน และพรรคตนก็ได้เปลี่ยนมานั่งที่ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเป็นพรรคเล็กมี ส.ส.แค่ 4 คน หากรวมกับบรรดาพรรคการเมืองเล็กที่ถูกจัดให้อยู่ด้านหลัง รวมมานั่งตรงกลางก็จะเป็นการเสมอภาค ทุกพรรคเท่าเทียมกัน