ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้รับรองว่าคนไทยเกือบทุกคนหลังจากสลัดอารมณ์ความรู้สึกแบบสลดหดหู่กับอุบัติเหตุเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 ครั้งซ้อน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันถึง 17 ศพ บาดเจ็บสาหัสแบบรอดตายราวปาฏิหาริย์อีก 1 นาย มันก็ต้องถึงเวลาตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ต้องมีการตั้งคำถามว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุจากสภาพอากาศปิด แปรปรวน จนนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ดังกล่าวหรือไม่ หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น ส่วนจะเป็นอะไรนั้นก็ต้องมาว่ากันต่อมันคืออะไรกันแน่ และต้องขึ้นอยู่กับการสอบสวนจนได้ข้อสรุปออกมา
เพราะไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในโลก เนื่องจากเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึง 3 ครั้ง ใน “ภารกิจเดียวกัน” ภายในระยะเวลา 8 วัน ทำให้ต้องสูญเสียบุคลากรอันทรงคุณค่าจนไม่อาจประเมินได้
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาในรายละเอียดแล้วยังพบว่า หลังจากเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบฮิวอี้ตกลำแรก ทำให้มีผู้เสียชีวิตยกลำเป็นทหารจำนวน 5 นาย ถัดมาห่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็เกิดอุบัติเหตุกับเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กฮอว์กซึ่งเป็นแบบที่มีราคาแพง และทันสมัยที่สุดแบบหนึ่งของกองทัพ ครั้งนี้มีนายทหารระดับสูงระดับผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 ยศพลตรี ระดับพันตรี ลดหลั่นลงมารวมไปถึงพลเรือนที่เป็นช่างภาพข่าวโทรทัศน์ช่อง 5 และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม สดๆ ร้อนๆ ก็ได้เกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน คราวนี้มีผู้เสียชีวิตอีก 3 ศพ บาดเจ็บสาหัสอีก 1 นาย รวมแล้วทั้งสามเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตถึง 17 ศพ
เมื่อเกิดเหตุในลักษณะแบบนี้ก็ย่อมทำให้เกิดอาการช็อกกันเป็นธรรมดา แต่พอตั้งสติได้มันก็ย่อมมีคำถามอื่นๆ ตามมา อย่างเช่น มันมีปัญหาจากอะไรกันแน่ ที่สำคัญทำให้ฉุกคิดได้เหมือนกันว่า อาจมีปัญหาในเรื่องการ “ซ่อมบำรุง” และยังเป็นการใช้เครื่องบินรุ่นเก่าที่หลายประเทศปลดระวาง ปลดประจำการไปแล้วหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ มีการตั้งข้อสงสัยกันไปว่าเป็นเพราะมีการทุจริตในการ “จัดซื้อ” อะไหล่ หรือไม่ ฯลฯ
เมื่อมีความสูญเสีย เกิดความสลดหดหู่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้คนที่ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นอด “ฟูมฟาย” คิดไปได้เตลิดเปิดเปิงได้ต่างๆ นานา
ขณะเดียวกันได้เกิดอารมณ์พลิกผันแยกออกมาอีกมุมหนึ่งหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวใส่สื่อมวลชน และนักวิชาการที่ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยานของกองทัพว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมไปถึงมีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องการทุจริตในการจัดซื้ออะไหล่อีกด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้แหละที่ไปเพิ่มอาการฉุนเฉียวขึ้นมาอีก
ทั้งที่ตามหลักการแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานนอกจากจะไม่มีสิทธิโกรธใครแล้ว ยังต้องแสดงอาการน้อมรับ พร้อม “ล้างหู” ฟังความเห็นจากทุกฝ่าย โดยประกาศสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และที่สำคัญเขาต้อง “ชี้แจง” ให้กระจ่าง เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมามีหลายโครงการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพเต็มไปด้วยข่าวคราวอื้อฉาว ไร้ประสิทธิภาพมากมาย มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยตามมา
ว่ากันเฉพาะกรณีการจัดซื้ออะหลั่ยและซ่อมบำรุงเฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 จากการตรวจสอบของศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนของสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยระบุว่า ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาจนถึงสิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2554 กองทัพบกโดยกรมการขนส่งทหารบกใช้งบประมาณไปแล้วจำนวน 918.5 ล้านบาท ผ่านทางสามบริษัท ได้แก่บริษัท เบลล์ เฮลิคอปเตอร์ เอเชีย(พีทีอี) จำกัด จากประเทศสิงคโปร์จำนวน 24 ครั้ง วงเงิน 715.4 ล้านบาท บริษัทที่สอง บริษัทโรยัลสกาย จำกัด 1 ครั้งวงเงิน 26.2 ล้านบาท และ 3.บริษัท ริชมินด์ จำกัด จำนวน 2 ครั้ง วงเงิน 160.2 ล้านบาท โดยหนึ่งในสามบริษัทดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับอดีตนายทหารระดับสูงยศพลเอกนายหนึ่ง
แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะไม่สามารถบ่งชี้ถึงเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริตก็ตาม แต่มันก็ทำให้เห็นถึงจำนวนงบประมาณในการจัดซื้ออะหลั่ยในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา โดบยริษัทเหล่านั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายทหารใหญ่ มันก็ส่อให้เห็นนัยบางอย่างได้บ้างพอสมควร และที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้ออาวุธ หรือแม้แต่การซื้ออะไหล่ซ่อมบำรุงหลายครั้งล้วนออกมาอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่างบประมาณ
หากไล่เรียงให้เห็นไปทีละเรื่องเท่าที่พอเป็นประเด็นอื้อฉาวก่อนหน้านี้ เช่น เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 ที่ต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ต่างจาก “ไม้ล้างป่าช้า” หรือ “เรือเหาะ” ที่หวังจะนำมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวของผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องยอมรับความจริงใช้งานไม่ได้ผลตามที่คาดหมายเอาไว้ รวมไปถึงกรณีการจัดซื้อรถลำเลียง “หุ้มเกราะล้อยาง” จากยูเครนอันอื้อฉาว รวมกันแล้วต้องใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท
นอกจากนี้หากพูดให้ตรงๆ แรงๆ ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้เกิดเหตุการณ์ที่ส่อให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพ “หย่อนยาน” ในการบริหารงานและการบังคับบัญชาสั่งการ เห็นได้จากกรณีมีการขโมยอาวุธปืนของทางการจากคลังแสงลพบุรี ออกไปขาย ที่แม้ตอนนั้นยังเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกก็ตาม แต่ถัดจากนั้นเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นที่ค่ายธนรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจนถึงบัดนี้ผลการสอบสวนก็ยังไม่มีการแถลงออกมาให้แน่ชัดรวมไปถึงการจับกุมคนร้ายได้มากน้อยแต่ไหน นี่ยังไม่นับกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่สรุปผลงานโดยรวมยังไม่น่าประทับใจอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนอย่างต่อเนื่องล้วนเกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกแทบทั้งสิ้น หรือไม่ก็ต้องมีส่วนสำคัญในการร่วมรับผิดชอบ ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกถึงสามครั้งซ้อนภายในรอบ 8 วัน ไม่ใช่แสดงอาการโกรธเกรี้ยว เพราะในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานต้องชี้แจงให้เคลียร์ และตรงประเด็น แต่นี่กลายเป็นว่าคิดจะใช้จังหวะนี้ขอซื้อเฮลิคอปเตอร์ล็อตใหญ่จำนวน 30 ลำหน้าตาเฉย
ทั้งที่มันคนละเรื่อง คนละประเด็น ทำนองถามม้าตอบช้าง ชาวบ้านเขาอยากรู้สาเหตุที่เกิดเหตุร้ายดังกล่าวมันมาจากอะไรกันแน่ แทนที่จะเร่งรัดให้สอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่นี่กลับจะของบซื้อเครื่องใหม่!!