ในยุคที่ระบอบทักษิณกำลังฟื้นคืนชีพ ผู้คนจำนวนไม่ร้อยกำลังอยู่ในอาการปริวิตกว่าจะใช้ชีวิตต่อไปในประเทศไทยอย่างไรให้มีความสุขกับสภาพบ้านเมืองที่กำลังเปราะบางอย่างยิ่ง
เพราะไม่เคยมีประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วงใด จะดูอลเวงเท่ากับบรรยากาศการเมืองพ.ศ. 2554 ที่เสื้อแดงล้มเจ้าครองเมืองมาก่อน
ดูได้จากผู้ชนะกลับสวมคราบชนะแล้วยังอันธพาล ทั้งๆ ที่สำนวนไทยมีแต่ “แพ้แล้วพาล” หรือ “ขี้แพ้ชวนตี” แต่นี่พรรคเพื่อไทยชนะแล้วกลับยังไม่สามารถละทิ้งสันดานดิบ ถ่อย เถื่อน ที่ติดตัวเป็นปานดำออกไปได้
สภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะจึงชัดเจนว่า วิธีคิดของทักษิณที่ให้เพื่อไทยและน้องสาวอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยทำก็คือ “ผู้ชนะคือผู้มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”, “ผู้ชนะสามารถทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งทำผิดกฎหมาย” ฯลฯ
การกดดัน กกต. ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและโจกแดงเปิดหน้าชกกันอย่างโจ๋งครึ่มโดยไม่มีความเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง และระบบการถ่วงดุลอำนาจที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ให้กับองค์กรอิสระต่างๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรักษาบ้านเมือง กลับถูกบิดเบือนโดยใช้แรงกดดันจากกฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย
บ้านเมืองไม่พังคราวนี้แล้วจะเจ๊งคราวไหน พรรคเพื่อไทยจึงควรเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคพังไทยน่าจะเหมาะสมกว่า
ที่น่าเศร้ามากไปกว่านั้น คือ สื่อมวลชนโดยรวมกลับยอมปล่อยให้พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงทำตัวเป็นอันธพาลข่มขู่องค์กรอิสระ ย่ำยีคนไทยอย่างย่ามใจ ถือเป็นยุคที่ประชาชนเสื่อมถอยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
นักการเมืองจำนวนหนึ่งขายตัวแลกผลประโยชน์ ข้าราชการพึ่งพาไม่ได้ แถมสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่ทำหน้าที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในยามที่ชาติกำลังประสบวิกฤติด้านความมั่นคงที่อาจเรียกได้ว่าวิกฤตที่สุดในโลกเสียอีก
ยุคทักษิณครองเมืองเกิดปรากฎกรณ์แทรกซึม แทรกซื้อ และ แทรกแซง สื่อมวลชนอย่างเป็นระบบ มาถึงยุคที่ทักษิณหมดอำนาจแต่มีแก้วสามประการเป็นของตัวเอง คือ พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ นั้นแท้จริงแล้วทักษิณ ยังมีไพ่อีกใบในมือที่ใช้มาตลอดต่อเนื่องนับตั้งแต่ตกจากบัลลังก์อำนาจ คือ
สื่อมวลชนหลัก
ซึ่งพูดกันให้ชัดเจนตรงไปตรงมาก็คือ มติชน และ ข่าวสด ที่ผู้บริหารก็เพิ่งออกมายอมรับว่าตัวเองเป็นสื่อแดง เปิดพื้นที่ให้คนเหล่านี้ได้เสนอหน้าต่อสาธารณขนแบบเอียงกะเท่เร่ไม่ตั้งมั่นอยู่บนข้อเท็จจริงในฐานะสื่อมวลชนที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
จึงไม่น่าแปลกใจที่คอลัมน์นิสต์ดีๆ หลายคนที่เขียนบทความวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาจะถูกถอดออกจากการเขียนคอลัมน์ประจำ ทั้งที่เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าและสร้างชื่อเสียงให้กับหนังสือพิมพ์มติชนมาอย่างยาวนาน เช่น
กรณีของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ซึ่งเป็นคนข่าวที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชนมายาวนานและมีชื่อเสียงในด้านการเจาะข่าวจนทำให้ได้กล่องรับรางวัลกันไปหลายครั้ง
แต่วันนี้ “ประสงค์” ก็หลุดกระเด็นไปอย่างไร้ค่า เพราะความเป็นอิสระทางความคิดไปขัดแย้งกับทิศทางของหนังสือพิมพ์ที่วางตัวเป็นหัวแดงชี้นำบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
แม้ว่า วันนี้คนทำงานข่าวในเครือนี้จะอิ่มหนำสำราญเต็มที่ เพราะหลังเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งไม่กี่วัน ทั้งข่าวสดและมติชนก็ประกาศเป็นการภายในให้นักข่าวได้รับทราบข่าวดีเกี่ยวกับการปรับเงินเดือนให้ถ้วนทั่วทุกคนเท่าเทียมกันรายละ 5 พันบาท ทำได้ทันที
“ทักษิณคิด มติชนทำ” ไม่ต้องรอเหมือนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทตามนโยบายพรรคเพื่อไทย
แต่ฟ้าแถวประชาชื่นตกทั่วถึง ทุกคนยิ้มรับเงินเดือนเพิ่ม 5 พันบาทแบบหวานคอแร้ง อย่างนี้จะไม่ให้ผู้คนเขาตั้งคำถามได้อย่างไรว่า แนวทางการนำเสนอข่าวที่เบี่ยงเบนไปเข้าข้างทักษิณ เพื่อไทยและคนเสื้อแดงเกิดจาก “อุดมการณ์” ที่จะยึดถือหลักจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ หรือเกิดจาก “อุดมกิน” กันแน่?
เป็นเรื่องที่ มติชน และข่าวสด ต้องให้คำตอบกับประชาชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์มติชนที่ได้รับการโอบอุ้มอย่างอบอุ่นจากประชาชนให้พ้นเงื้อมมือทักษิณในยุคที่เสี่ยใหญ่แกรมมี่สยายปีกจะเข้ามาครอบงำ
มาวันนี้ค่ายมติชนกลับสยบยอมต่อการเมือง ละทิ้งประชาชนที่เคยยืนหยัดต่อสู้เพื่อมติชนแล้วหรือ
แน่นอน คนทำงานข่าวในสนามพึงพอใจกับเม็ดเงินที่ได้เพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่ในวิชาชีพของตัวเอง หรือว่าวันนี้สำหรับคนทำงานข่าวที่มติชน และข่าวสด จะถือว่าอาชีพนักข่าวก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ทำงานให้ได้เงิน ไม่ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นฐานันดร 4 หรือ จรรยาบรรณที่พึงมีในวิชาชีพของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
เป็นโจทย์ที่ฝากให้คนทำงานข่าวในเครือนี้ได้ไตร่ตรองและใคร่ครวญดูว่าเงิน 5 พันบาทที่กำลังจะได้เพิ่มขึ้น พรากเอาจิตวิญญาณจากวิชาชีพสื่อมวลชนไปด้วยหรือเปล่า หรือว่าพวกคุณเต็มใจที่จะเสียมันไปแลกกับเงิน 5 พันบาทที่กำลังจะได้รับกลับมา
ลองถามตัวเองดูว่า “นกที่อ้วนเกินไปจนบินไม่ได้ จะไม่มีทางได้ลิ้มรสความสุขจากการกระพือปีกโบยบิน จะยังถือเป็นนกได้อีกหรือไม่?”
เพราะไม่เคยมีประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วงใด จะดูอลเวงเท่ากับบรรยากาศการเมืองพ.ศ. 2554 ที่เสื้อแดงล้มเจ้าครองเมืองมาก่อน
ดูได้จากผู้ชนะกลับสวมคราบชนะแล้วยังอันธพาล ทั้งๆ ที่สำนวนไทยมีแต่ “แพ้แล้วพาล” หรือ “ขี้แพ้ชวนตี” แต่นี่พรรคเพื่อไทยชนะแล้วกลับยังไม่สามารถละทิ้งสันดานดิบ ถ่อย เถื่อน ที่ติดตัวเป็นปานดำออกไปได้
สภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะจึงชัดเจนว่า วิธีคิดของทักษิณที่ให้เพื่อไทยและน้องสาวอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยทำก็คือ “ผู้ชนะคือผู้มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”, “ผู้ชนะสามารถทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งทำผิดกฎหมาย” ฯลฯ
การกดดัน กกต. ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและโจกแดงเปิดหน้าชกกันอย่างโจ๋งครึ่มโดยไม่มีความเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง และระบบการถ่วงดุลอำนาจที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ให้กับองค์กรอิสระต่างๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรักษาบ้านเมือง กลับถูกบิดเบือนโดยใช้แรงกดดันจากกฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย
บ้านเมืองไม่พังคราวนี้แล้วจะเจ๊งคราวไหน พรรคเพื่อไทยจึงควรเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคพังไทยน่าจะเหมาะสมกว่า
ที่น่าเศร้ามากไปกว่านั้น คือ สื่อมวลชนโดยรวมกลับยอมปล่อยให้พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงทำตัวเป็นอันธพาลข่มขู่องค์กรอิสระ ย่ำยีคนไทยอย่างย่ามใจ ถือเป็นยุคที่ประชาชนเสื่อมถอยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
นักการเมืองจำนวนหนึ่งขายตัวแลกผลประโยชน์ ข้าราชการพึ่งพาไม่ได้ แถมสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่ทำหน้าที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในยามที่ชาติกำลังประสบวิกฤติด้านความมั่นคงที่อาจเรียกได้ว่าวิกฤตที่สุดในโลกเสียอีก
ยุคทักษิณครองเมืองเกิดปรากฎกรณ์แทรกซึม แทรกซื้อ และ แทรกแซง สื่อมวลชนอย่างเป็นระบบ มาถึงยุคที่ทักษิณหมดอำนาจแต่มีแก้วสามประการเป็นของตัวเอง คือ พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ นั้นแท้จริงแล้วทักษิณ ยังมีไพ่อีกใบในมือที่ใช้มาตลอดต่อเนื่องนับตั้งแต่ตกจากบัลลังก์อำนาจ คือ
สื่อมวลชนหลัก
ซึ่งพูดกันให้ชัดเจนตรงไปตรงมาก็คือ มติชน และ ข่าวสด ที่ผู้บริหารก็เพิ่งออกมายอมรับว่าตัวเองเป็นสื่อแดง เปิดพื้นที่ให้คนเหล่านี้ได้เสนอหน้าต่อสาธารณขนแบบเอียงกะเท่เร่ไม่ตั้งมั่นอยู่บนข้อเท็จจริงในฐานะสื่อมวลชนที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
จึงไม่น่าแปลกใจที่คอลัมน์นิสต์ดีๆ หลายคนที่เขียนบทความวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาจะถูกถอดออกจากการเขียนคอลัมน์ประจำ ทั้งที่เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าและสร้างชื่อเสียงให้กับหนังสือพิมพ์มติชนมาอย่างยาวนาน เช่น
กรณีของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ซึ่งเป็นคนข่าวที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชนมายาวนานและมีชื่อเสียงในด้านการเจาะข่าวจนทำให้ได้กล่องรับรางวัลกันไปหลายครั้ง
แต่วันนี้ “ประสงค์” ก็หลุดกระเด็นไปอย่างไร้ค่า เพราะความเป็นอิสระทางความคิดไปขัดแย้งกับทิศทางของหนังสือพิมพ์ที่วางตัวเป็นหัวแดงชี้นำบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
แม้ว่า วันนี้คนทำงานข่าวในเครือนี้จะอิ่มหนำสำราญเต็มที่ เพราะหลังเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งไม่กี่วัน ทั้งข่าวสดและมติชนก็ประกาศเป็นการภายในให้นักข่าวได้รับทราบข่าวดีเกี่ยวกับการปรับเงินเดือนให้ถ้วนทั่วทุกคนเท่าเทียมกันรายละ 5 พันบาท ทำได้ทันที
“ทักษิณคิด มติชนทำ” ไม่ต้องรอเหมือนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทตามนโยบายพรรคเพื่อไทย
แต่ฟ้าแถวประชาชื่นตกทั่วถึง ทุกคนยิ้มรับเงินเดือนเพิ่ม 5 พันบาทแบบหวานคอแร้ง อย่างนี้จะไม่ให้ผู้คนเขาตั้งคำถามได้อย่างไรว่า แนวทางการนำเสนอข่าวที่เบี่ยงเบนไปเข้าข้างทักษิณ เพื่อไทยและคนเสื้อแดงเกิดจาก “อุดมการณ์” ที่จะยึดถือหลักจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ หรือเกิดจาก “อุดมกิน” กันแน่?
เป็นเรื่องที่ มติชน และข่าวสด ต้องให้คำตอบกับประชาชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์มติชนที่ได้รับการโอบอุ้มอย่างอบอุ่นจากประชาชนให้พ้นเงื้อมมือทักษิณในยุคที่เสี่ยใหญ่แกรมมี่สยายปีกจะเข้ามาครอบงำ
มาวันนี้ค่ายมติชนกลับสยบยอมต่อการเมือง ละทิ้งประชาชนที่เคยยืนหยัดต่อสู้เพื่อมติชนแล้วหรือ
แน่นอน คนทำงานข่าวในสนามพึงพอใจกับเม็ดเงินที่ได้เพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่ในวิชาชีพของตัวเอง หรือว่าวันนี้สำหรับคนทำงานข่าวที่มติชน และข่าวสด จะถือว่าอาชีพนักข่าวก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ทำงานให้ได้เงิน ไม่ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นฐานันดร 4 หรือ จรรยาบรรณที่พึงมีในวิชาชีพของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
เป็นโจทย์ที่ฝากให้คนทำงานข่าวในเครือนี้ได้ไตร่ตรองและใคร่ครวญดูว่าเงิน 5 พันบาทที่กำลังจะได้เพิ่มขึ้น พรากเอาจิตวิญญาณจากวิชาชีพสื่อมวลชนไปด้วยหรือเปล่า หรือว่าพวกคุณเต็มใจที่จะเสียมันไปแลกกับเงิน 5 พันบาทที่กำลังจะได้รับกลับมา
ลองถามตัวเองดูว่า “นกที่อ้วนเกินไปจนบินไม่ได้ จะไม่มีทางได้ลิ้มรสความสุขจากการกระพือปีกโบยบิน จะยังถือเป็นนกได้อีกหรือไม่?”