การเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไป ประชาชนชาวไทยคาดหวังให้เกิดความสงบเรียบร้อย และมุ่งหมายว่ามันจะเป็นหนทางที่จะทำให้ประเทศไทยเดินก้าวข้ามความขัดแย้งไปเสียที
ความทุกข์ทรมานของประชาชนทั้งเรื่องความชีวิตเป็นอยู่ กระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัญหาปากท้อง ชนชั้นสูงจะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจหัวอกชนชั้นกรรมมาชีพอย่างถ่องแท้ หากไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน
ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลายคนคิดว่าปัจจัยแปรผันเป็นเพราะสถานการณ์การเมือง แต่ถ้าลองมองผ่านความขัดแย้ง มองผ่านการเอาชนะคะคานทางการเมือง เปลี่ยนมามองถึงปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตแล้ว บางคนที่เข้าใจอาจไม่คิดอย่างนั้น
วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายความขัดแย้ง ไม่ต้องการเห็นใครชนะ ใครแพ้ ใครดี ใครเลว
แต่ต้องการเห็นใครสักคนที่จะเข้ามาฉุดประเทศ ให้หลุดพ้นจากวังวนมืดดำที่วนเวียนอยู่
ผลการเลือกตั้งที่ออกมาว่าประชาชนตัดสินใจเลือกพรรค เพื่อไทย เหนือพรรค ประชาธิปัตย์ หลายคนที่ติดหล่มการเมืองอนุมานว่าเป็นเพราะการแบ่งข้าง เลือกฝ่าย ต้องการเห็นใครสักคนชนะในการต่อสู้ที่ห้ำหั่นตลอดมา ไม่เคยคิดว่าประชาชนเขาเลือกเพื่อความหวัง เพื่อความอยู่รอดของตนเอง
พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากว่า 2 ปี แต่ผลงานที่ออกมากลับไม่สามารถทำให้ประชาชนชื่นชอบ จดจำนโยบายใดที่เป็นชิ้นเป็นอันได้เลย ชาวบ้านเจอแต่เพียงการบริหารความขัดแย้งทางการเมือง โดยที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากนั่งมองตาปริบๆ
จึงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมองเห็นสิ่งที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นกว่าเก่า ย่อมต้องมองหาสิ่งแปลกใหม่ แม้กระทั่งสิ่งแปลกปลอมเข้ามาลองดูบ้าง แต่บังเอิญว่าในอดีตเคยเห็นสิ่งที่พรรค เพื่อไทย ในคราบพรรค ไทยรักไทย ทำไว้ค่อนข้างดี อย่างน้อยก็รู้สึกว่าดีกว่าการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกที่คนจะหันกลับไปเลือกของเดิมๆ
ผลการเลือกตั้งที่ออกมาประชาชนจึงอยากลองให้โอกาสพรรคเพื่อไทยอีกสักครั้ง มันสะท้อนได้อย่างมีนัยสำคัญว่าเขาต้องการให้ภาคการเมืองทำอะไรให้ภาคประชาชน
อย่างไรก็ตาม ภาพที่ปรากฏวันนี้ช่างน่าเศร้าใจเหลือเกิน เพราะดูเหมือนว่าฝ่ายชนะกำลังหลงระเริง ลำพอง เริ่มออกอาการไม่สนใจชาวบ้าน สิ่งที่คุยโวไว้ตอนหาเสียง กำลังจะหาทางเลี่ยงบาลี ทำบ้างไม่ทำบ้าง
ส่วนฝ่ายแพ้ก็ติดหล่มจมปลัก เอาแต่ทบทวนความพ่ายแพ้ ว่าเป็นเพราะยุทธศาสตร์การเมืองผิดพลาด โดยที่ไม่คิดเลยว่ามีปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่านั้น
หากภาคการเมืองหันมาคิดถึงภาคประชาชนอย่างจริงจัง หันมาคิดถึงชนชั้นกรรมาชีพก่อนอื่นใดแล้ว ยุทธศาสตร์ และนโยบายที่นำไปหาเสียงอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น
ไม่ใช่เมื่อเลือกตั้งกันทีหนึ่ง ค่อยมาคิดกันสักครั้งหนึ่ง แนวทางที่วางไว้จึงดูเลื่อนลอย เลอะเทอะ บางครั้งก็ทำไม่ได้จริง เหมือนเพ้อเจ้อ เพ้อฝัน บางครั้งก็ไร้ความหวัง มองเห็นแต่ความมืดดำ ไร้แสงสว่าง
เหล่านี้เพราะขาดกระบวนการเอาใจใส่ประชาชน ตกอยู่แต่วังวนการเมือง ตกอยู่ในอาการฝักใฝ่อำนาจเพื่อตัวเอง
จุดนี้เป็นโจทย์สำคัญอันหนึ่งที่พรรคการเมือง น่าจะลองเอาไปขบคิด ทบทวน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองดูบ้าง มากกว่าที่จะเดินอยู่ในวังวนเดิม ที่มีแต่เอาการทรงๆ ทรุดๆ ไร้พัฒนาการอย่างเช่นทุกวันนี้
ความทุกข์ทรมานของประชาชนทั้งเรื่องความชีวิตเป็นอยู่ กระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัญหาปากท้อง ชนชั้นสูงจะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจหัวอกชนชั้นกรรมมาชีพอย่างถ่องแท้ หากไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน
ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลายคนคิดว่าปัจจัยแปรผันเป็นเพราะสถานการณ์การเมือง แต่ถ้าลองมองผ่านความขัดแย้ง มองผ่านการเอาชนะคะคานทางการเมือง เปลี่ยนมามองถึงปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตแล้ว บางคนที่เข้าใจอาจไม่คิดอย่างนั้น
วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายความขัดแย้ง ไม่ต้องการเห็นใครชนะ ใครแพ้ ใครดี ใครเลว
แต่ต้องการเห็นใครสักคนที่จะเข้ามาฉุดประเทศ ให้หลุดพ้นจากวังวนมืดดำที่วนเวียนอยู่
ผลการเลือกตั้งที่ออกมาว่าประชาชนตัดสินใจเลือกพรรค เพื่อไทย เหนือพรรค ประชาธิปัตย์ หลายคนที่ติดหล่มการเมืองอนุมานว่าเป็นเพราะการแบ่งข้าง เลือกฝ่าย ต้องการเห็นใครสักคนชนะในการต่อสู้ที่ห้ำหั่นตลอดมา ไม่เคยคิดว่าประชาชนเขาเลือกเพื่อความหวัง เพื่อความอยู่รอดของตนเอง
พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากว่า 2 ปี แต่ผลงานที่ออกมากลับไม่สามารถทำให้ประชาชนชื่นชอบ จดจำนโยบายใดที่เป็นชิ้นเป็นอันได้เลย ชาวบ้านเจอแต่เพียงการบริหารความขัดแย้งทางการเมือง โดยที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากนั่งมองตาปริบๆ
จึงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมองเห็นสิ่งที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นกว่าเก่า ย่อมต้องมองหาสิ่งแปลกใหม่ แม้กระทั่งสิ่งแปลกปลอมเข้ามาลองดูบ้าง แต่บังเอิญว่าในอดีตเคยเห็นสิ่งที่พรรค เพื่อไทย ในคราบพรรค ไทยรักไทย ทำไว้ค่อนข้างดี อย่างน้อยก็รู้สึกว่าดีกว่าการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกที่คนจะหันกลับไปเลือกของเดิมๆ
ผลการเลือกตั้งที่ออกมาประชาชนจึงอยากลองให้โอกาสพรรคเพื่อไทยอีกสักครั้ง มันสะท้อนได้อย่างมีนัยสำคัญว่าเขาต้องการให้ภาคการเมืองทำอะไรให้ภาคประชาชน
อย่างไรก็ตาม ภาพที่ปรากฏวันนี้ช่างน่าเศร้าใจเหลือเกิน เพราะดูเหมือนว่าฝ่ายชนะกำลังหลงระเริง ลำพอง เริ่มออกอาการไม่สนใจชาวบ้าน สิ่งที่คุยโวไว้ตอนหาเสียง กำลังจะหาทางเลี่ยงบาลี ทำบ้างไม่ทำบ้าง
ส่วนฝ่ายแพ้ก็ติดหล่มจมปลัก เอาแต่ทบทวนความพ่ายแพ้ ว่าเป็นเพราะยุทธศาสตร์การเมืองผิดพลาด โดยที่ไม่คิดเลยว่ามีปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่านั้น
หากภาคการเมืองหันมาคิดถึงภาคประชาชนอย่างจริงจัง หันมาคิดถึงชนชั้นกรรมาชีพก่อนอื่นใดแล้ว ยุทธศาสตร์ และนโยบายที่นำไปหาเสียงอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น
ไม่ใช่เมื่อเลือกตั้งกันทีหนึ่ง ค่อยมาคิดกันสักครั้งหนึ่ง แนวทางที่วางไว้จึงดูเลื่อนลอย เลอะเทอะ บางครั้งก็ทำไม่ได้จริง เหมือนเพ้อเจ้อ เพ้อฝัน บางครั้งก็ไร้ความหวัง มองเห็นแต่ความมืดดำ ไร้แสงสว่าง
เหล่านี้เพราะขาดกระบวนการเอาใจใส่ประชาชน ตกอยู่แต่วังวนการเมือง ตกอยู่ในอาการฝักใฝ่อำนาจเพื่อตัวเอง
จุดนี้เป็นโจทย์สำคัญอันหนึ่งที่พรรคการเมือง น่าจะลองเอาไปขบคิด ทบทวน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองดูบ้าง มากกว่าที่จะเดินอยู่ในวังวนเดิม ที่มีแต่เอาการทรงๆ ทรุดๆ ไร้พัฒนาการอย่างเช่นทุกวันนี้