“มาร์ค” ดักคอ พท.ปลุกแก้ รธน. อ้าง รธน.ปี 40 บังหน้าหวังผลเกิดนิรโทษกรรม ชี้ล้มล้างคำพิพากษาของศาลมีปัญหาแน่ เหน็บเอาเสียงประชาชน-คะแนนนิยมลบล้างความผิดมันไม่ถูกหลัก แนะทางที่ดีเดินหน้าแก้ปัญหาประชาชนดีกว่า หลังได้รับฉันทามติประชาชนให้เป็นรัฐบาล บอกแก้ รธน.ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน วอน “ก่อแก้ว” หยุดเอามวลชนกดดัน กกต. เหตุไม่รับรอง “เสื้อแดง-ยิ่งลักษณ์” เป็น ส.ส. แนะ “ปู” แสดงออกไม่หนุนแนวทางนี้ เห็นด้วยหากจะสลายหมู่บ้านแดงในอีสาน
วันนี้ (13 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการเคลื่อนไหวเสนอให้มีการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 โดยหยิบรัฐธรรมนูญปี 40 ขึ้นมาพิจารณาด้วยว่า การที่เสนอให้หยิบรัฐธรรมนูญปี 40 ขึ้นมามองว่าไม่มีเหตุผลในตัวของมัน เพราะเราอยากจะปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอย่างไร สภาสามารถดำเนินการได้ ทำไมเราถึงต้องมาจำกัดสิทธิของประชาชนคนไทยว่าต้องยึดอยู่กับฉบับใดฉบับหนึ่ง ทุกฉบับมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน สามารถที่จะปรับปรุงกันไปได้ ตนคิดว่าคนที่จะเอารัฐธรรมนูญปี 40 มามีเป้าหมายอย่างเดียว คือ ต้องการล้มล้างบางมาตราของรัฐธรรมนูญปี 50 หวังว่าจะให้เกิดการนิรโทษกรรม ถ้าจะทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง อย่าเอาเรื่องรัฐธรรมนูญมาอ้าง ถ้าอยากจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสามารถทำได้อยู่แล้วในเนื้อหาสาระที่ต้องการจะแก้ไข
เมื่อถามว่า กลายเป็นว่านักการเมืองเห็นแก่ประโยชน์ตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ประชาชนมากเกินไปหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงนี้ทางสังคมต้องตรวจสอบกันให้ชัด คำถามแรกเลยต้องถามว่าทำไมต้องไปจำกัดตัวเองอยู่กับรัฐธรรมนูญปี 40 ในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 40 ทุกพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคไทยรักไทยเคยบอกว่าจะต้องแก้ไขกันครั้งใหญ่หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้น โดยเฉพาะช่วงปี 49-49 ชัดเจน และในบทบัญญัติเราก็เห็นชัด จำกัดสิทธิคนไม่จบปริญญาไม่ให้สมัครผู้แทนฯ เป็นต้น ทำไมต้องไปยึดกับสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นถ้าอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นไหนที่เห็นว่ายังไม่เป็นประชาธิปไตย จะต้องปรับปรุงก็ว่ากันไปตามปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การซ่อนเรื่องการนิรโทษกรรมไว้ในรัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดปัญหารอบใหม่ในสังคมไทยหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ การที่จะพยายามลบล้างคำพิพากษาของศาลเป็นปัญหาแน่สำหรับสังคม อย่าไปทำเลย วันนี้พรรคเพื่อไทยได้รับฉันทานุมัติให้เข้ามาเร่งผลักดันนโยบายต่างๆ แก้ปัญหาที่ประชาชนมีความคาดหวังเดินต่อไป ถ้าเอาเรื่องพวกนี้เข้ามาการทำงานจะมีแต่ปัญหา เมื่อถามต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะสามารถก้าวข้ามประโยชน์ของพี่ชายตัวเองได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องทำให้ได้ เมื่อถามอีกว่า จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ต่อมาตรา 279 เป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มันไม่มีประเด็นอะไรแล้ว ถ้าอยากจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็ต้องพูดกันให้ชัดว่าประเด็นไหนที่ยังติดใจอยู่ การไปพูดถึงปี 40 ปี 50 ตนไม่เข้าใจว่าจะมีหลักคิดในแง่ของเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไพ่ใบสุดท้ายที่เขาวางไว้เหมือนจะเอาประชามติมาเป็นตัวหักล้างทุกอย่าง คิดว่าจะเกิดปัญหาไหม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากย้ำในระบบการบริหารบ้านเมืองที่เป็นประชาธิปไตย อำนาจของแต่ละฝ่าย นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ จะกำหนดบทบาท ขอบเขต อำนาจ หน้าที่เอาไว้ และคานซึ่งกันและกัน การทำอะไรที่มันถูก-ผิดกฎหมายเป็นเรื่องที่ฝ่ายตุลาการเป็นผู้ตัดสิน ความพยายามที่จะเอาเสียงของประชาชนหรือคะแนนนิยมต่างๆ มาเพื่อลบล้างมันไม่ถูกหลัก ไม่อย่างนั้นต่อไปนี้หมายความว่าใครที่ประชาชนนิยมก็ทำผิดกฎหมายได้อย่างนั้นหรือเปล่า ซึ่งมันไมใช่หลักของการดูแลให้เกิดมาตรฐานหลักของบ้านเมือง
เมื่อถามว่า ในทางกฎหมายสามารถที่จะแก้รัฐธรรมนูญหรือออกนิรโทษกรรม เพื่อล้มล้างคำพิพากษาของศาลได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังนึกไม่ออกต้องดูว่า คนที่คิดจะเสนอรูปแบบไหนอย่างไร และเป็นไปได้จริงหรือเปล่า เมื่อถามต่อว่า หากนำไปสู่ภาวะนั้นจริงๆ อะไรจะเกิดภายในประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าเราก็สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง ทำไมเราไม่ก้าวให้พ้นจากสิ่งเหล่านี้และเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้ประชาชน เมื่อถามอีกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่เข้าใจว่า ถ้าจะยกร่างฯ กันทั้งฉบับทำไมต้องไปถามเรื่องปี 40 ปี 50
ต่อข้อถามที่ว่า บางส่วนมองว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็นผลพวงมาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คมช. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงไหนที่เป็นปัญหาแก้ได้ ทำไมต้องบอกว่าให้กลับไปที่ปี 40 ในเมื่อปี 40 ขอย้ำว่า ทุกพรรคการเมืองรวมทั้งพรรคไทยรักไทย เคยแถลงต่อสาธาารณะว่าจะต้องรื้อทั้งฉบับด้วย เมื่อถามย้ำว่า มีการให้เหตุผลว่าเพราะรัฐธรรมนูญปี 50 มาจากรากเหง้าเผด็จการทหาร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชาชนเองยอมรับรัฐธรรมนูญปี 50 ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง กติกาไหนในรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ก็ไม่เห็นเขาติดใจเลย แต่ตรงไหนที่ไม่พอใจก็ไปอ้างว่ามาจาก คมช. คงไม่ใช่
เมื่อถามว่ามันจะกลายเป็นประเพณีเลยหรือไม่ เมื่อฝ่ายไหนเข้ามาต้องแก้รัฐธรรมนูญ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีเรื่องแก้เป็นประเพณี แต่เป็นเรื่องของเนื้อหาสาระ แต่ละเรื่องที่จะต้องแก้ไข ตอนที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขมีแค่ 2 เรื่อง คือ มาตรา 190 ซึ่งทุกฝ่ายมองตรงกันว่า มีปัญหาทางเทคนิคและเรื่องระบบเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องสากล เมื่อถามต่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดความหวาดระแวง หรือช่วงนี้บรรยากาศยังไม่เหมาะสมที่จะแก้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนถามเพียงว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร พรรคเพื่อไทยเองก็เพิ่งได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในการชนะการเลือกตั้ง มีสิทธิมีอำนาจในการเข้ามาบริหารบ้านเมือง และความเร่งด่วนอยู่ตรงไหน หากมีวาระเรื่อวนิรโทษกรรม ตนเคยเตือนเอาไว้และยังเตือนอยู่ว่าจะเป็นตัวที่สร้างปัญหาการเมืองไม่จบ ต้องก้าวให้พ้น ตอนนี้เดินหน้าเร่งเตรียมทำงานให้กับประชาชนดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุผลที่นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบอีกครั้ง และควรยุบองค์กรต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าจะแก้ประเด็นเรื่องยุบพรรคก็เสนอมาได้ ไม่มีปัญหาอะไร ทำไมต้องบอกว่าจะไปรื้อทั้งฉบับ และพยายามจะให้มีผลย้อนหลังไปนิรโทษกรรม ถ้าอยากจะแก้ประเด็นยุบพรรคก็แก้ได้ มีหลักคิดอยู่แล้วในตอนนี้ ซึ่งหลายคนมองตรงกัน โดยส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคแต่เห็นด้วยกับการลงโทษ กรรมการบริหารพรรค
เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยใช้วิธีการคู่ขนานให้ส่วนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญ อีกส่วนหนึ่งบอกว่าจะเดินหน้าเรื่องนโยบาย จะทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันนี้สังคมประชาชนมองออกว่าใครจะทำอะไร ฉะนั้น อยากให้เร่งเตรียมผลักดันนโยบายมากกว่า เพราะหลายนโยบายขณะนี้ไม่ง่ายในการที่จะผลักดันในเวลาอันสั้นตามที่สัญญาเอาไว้ ฉะนั้นให้เวลาทุ่มเทตรงนี้จะดีกว่า เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้บอก เพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะมาว่ากันทีหลัง เมื่อถามว่าถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดจะศักดิ์สิทธิ์เท่าทักษิณพูดหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็คนหนึ่งคิด คนหนึ่งทำ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับการเป็น ส.ส.ของตนเองมีความกังวลหรือไม่ว่า ตนไม่กังวล และจริงๆ ก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามีข้อเรียกร้องมีอะไรบ้าง แต่ตนมั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง ทั้งนี้ ตนไม่ทราบถึงข้อร้องเรียน แต่เข้าใจว่ามีคนร้องเรียนเยอะก็เลยไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เมื่อถามว่า คิดว่าตนเองทำผิดกฎหมายอะไรบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวปฏิเสธว่าไม่มี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุดนายก่อแก้ว พิกุลทอง ว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ออกมาขู่ว่าหากไม่มีการรับรองคนเสื้อแดงและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยเป็น ส.ส.จะให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงพอแล้วกับการเมืองแบบนี้ เรายุบสภาแล้ว มีเลือกตั้งแล้ว ทุกอย่างกลับเข้าสู่กระบวนการ ถ้าจะใช้วิธีการเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น การเมืองก็จะมีปัญหาต่อไป ทำไมไม่ให้โอกาสกับทางหน่วยงานและองค์ต่างๆ ให้ได้ทำหน้าที่ตามปกติของเขา ไม่เช่นนั้นถ้าสมมติว่าต่อไปนี้ใครไม่ได้รับการรับรองก็ขนผู้สนับสนุนมออกมากดดัน ก็คิดว่าไม่ถูกต้อง ตนคิดว่าพอได้แล้วเรื่องแบบนี้
เมื่อถามว่า ในระหว่างการพิจารณาของ กกต. เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา คนเสื้อแดงได้มีการมาชุมนุมเพื่อมากดดัน กกต. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า กกต. ยังยืนตามความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อถามว่าจะทนรับแรงเสียดทานและจะมีความหวั่นไหวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กกต.ต้องหนักแน่น ถ้าหาก กกต.โอนอ่อน ต่อไปตนรับรองได้ว่า ส.ส.ทั้ง 500 คนก็ขนมาได้คนละไม่น้อยที่จะมากดดัน
เมื่อถามว่า คิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรจะมีบทบาทในการยุติปัญหาเหล่านี้อย่างไรบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใจตนคิดว่าในฐานะที่จะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและมีความใกล้ชิดอยู่กับคนเสื้อแดงน่าจะแสดงออกให้เห็นว่า ไม่สนับสนุนแนวทางแบบนี้ จะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถามต่อว่า กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีท่าทีที่วางเฉยจะเป็นการกดดันการทำงานของ กกต. และเพราะว่าตนเองได้ประโยชน์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ ตนอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดว่าไม่สนับสนุน เพราะตนเองไม่ว่าใครจะไปตนก็ไม่สนับสนุน ไม่ว่าจะอยู่สายไหน เพราะทางกกต.ก็มีหน้าที่ต้องทำ อย่าให้เขาทำงานอยู่ภายใต้แรงกดดัน ภายใต้สิ่งที่กระทบต่อความเป็นอิสระ หรือความเที่ยงธรรมในการทำงาน ถ้าหากเราปล่อยอย่างนี้ไป ต่อไปทุกเรื่องเราก็ไปเชื้อเชิญให้มาใช้วิธีการเอามวลชนมากดดัน
เมื่อถามว่า เขาจะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็เป็นบททดสอบบทหนึ่งที่สำคัญในการที่จะพาบ้านเมืองต่อไป ถามว่าคิดว่าการบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยนับจากนี้นายกรัฐมนตรีคิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ท้าทายสำหรับพรรคเพื่อไทย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงมีหลายเรื่อง เรื่องแรกคือการดำเนินการตามนโยบายกับความคาดหวังของประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร และเป็นสิ่งที่ตนคิดว่าต้องทำให้ได้ในวิถีทางประชาธิปไตย และเรื่องที่สอง เรื่องที่เป็นปัญหาและผลประโยชน์ของกลุ่ม ของคนเข้ามา และทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมือง รวมไปถึงเรื่องการบริหารจัดการมวลชน ในเมื่อวันนี้เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องของมวลชนต่างๆ ก็น่าจะพอได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่บริหารประเทศ และมีความใกล้ชิดกับกลุ่มมวลชน ก็ไม่ควรให้กลุ่มมวลชนไปเคลื่อนไหวที่เป็นลักษณะการกดดันองค์อื่นๆ
เมื่อถามว่า ควรเริ่มต้นจากการสลายหมู่บ้านแดงในพื้นที่ภาคอีสานก่อนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเห็นด้วยถ้าสามารถที่จะทำได้ ตนคิดว่าน่าจะจบได้แล้วในการแบ่งแยกต่างๆ ถ้าหากเป็นความชัดเจนว่านั่นเป็นความต้องการในเรื่องการปรองดอง