xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง-โพลความสุขคนไทยพุ่งปรี๊ด!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ระหว่างที่รอขั้นตอนการรับรอง ส.ส.จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และการฟอร์มรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงน่าจะคั่นเวลาว่ากันด้วยเรื่องอื่นๆ กันไปก่อน

ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมาได้มีการเปิดเผยผลสำรวจ (โพล) ออกมาว่า ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม หลังพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ปรากฏว่าความสุขของคนไทยพุ่งสูงขึ้น จากคะแนนกว่า 6.5 เป็นเกือบ 8 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 ผลที่ออกมาดังกล่าวถือว่าไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปจากความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาด้วยคะแนนถล่มทลาย จนได้ว่าที่ ส.ส.เกินครึ่ง

ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่มีการระบุว่า เป็นนโยบายประชานิยม ไม่ว่าจะเป็น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ จบปริญญาตรีได้เงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือน ยกเลิกกองทุนน้ำมัน (ต่อมาเปลี่ยนเป็นยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน) รับจำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,000 บาท ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลงทันที สัญญาว่าข้าวของจะมีราคาถูกลง จะมีการพักหนี้ เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ

เมื่อพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ทำให้คนไทยที่เลือกพวกเขาเข้ามาจำนวนมากมีความสุขและมีความหวังและกำลังตั้งตารอคอยด้วยใจจดจ่อว่าความฝันจะเป็นจริงเสียที

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นผลสำรวจที่ออกมาหลังทราบผลการเลือกตั้งผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ยังอยู่ในช่วงของบรรยากาศการเฉลิมฉลอง ยังมอบดอกไม่แสดงความยินดีกันไม่เสร็จ ความรู้สึกก็ต้องออกมาอย่างที่เห็นแน่นอน

แต่ล่าสุดถัดมาเพียงชั่วข้ามคืนเช่นเดียวกัน ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ชื่อว่า เป็นทุกสิ่งในพรรคเพื่อไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งส่งน้องสาวมาเป็น “โคลนนิ่ง” นายกรัฐมนตรี ก็ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อข้ามประเทศเข้ามาให้ได้ยินนำร่องเข้ามาก่อนว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทจะพิจารณาปรับให้เฉพาะในกรุงเทพมหานครเท่านั้น ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดจะพิจารณาตามความเหมาะสม

สรุปให้ชัดๆ ก็คือ “ถ้าปรับ” ก็จะปรับให้เฉพาะในกรุงเทพฯ ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง

เพราะถ้ายึดตามแนวทางหาเสียงเพื่อจูงใจคนให้ชาวบ้านเชื่อถืออย่างที่ได้ประกาศให้ทราบก็คือ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” มันก็ต้องเป็นตามนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าก่อนหน้านี้หลังการเลือกตั้ง ยิ่งลักษณ์ ยืนยันมาตลอดว่า พี่ชายของเธอเป็นแค่ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แต่ในเรื่องการบริหารงานราชการแผ่นดินไม่เกี่ยวกัน ตัวเธอและคณะที่ปรึกษาจะเป็นคนตัดสินใจก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีคนเชื่อคล้อยตามน้อยมาก

อีกทั้งภาพที่ปรากฏก็เห็นอยู่ตำตาว่ามี ส.ส.หัวหน้ากลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรคเพื่อไทยต่างก็เร่งรีบเดินทางไปพบกับ ทักษิณ ในต่างประเทศกันจ้าละหวั่น ซึ่งแม้จะออกมาในลักษณะไปอ้อนวอนขอความเห็นใจ หรือกีดกันคู่แข่งไม่ให้รับตำแหน่ง ทุกคนไปด้วยจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือขอการสนับสนุนจากเจ้าของพรรคให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรี ได้ประโยชน์สูงสุดนั่นเอง

เมื่อวกกลับมาที่ดัชนีชี้วัดความสุขของคนไทยหลังพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งกับตอนที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลได้บริหารบ้านเมืองไประยะหนึ่งแล้วความสุขของคนไทยจะพุ่งสูงปรี๊ดต่อเนื่องอีกหรือไม่

เพราะเมื่อพิจารณาจากนโยบายหลายอย่างเริ่มมีการปฏิเสธและมีการตั้งเงื่อนไขเฉไฉหรือยื้อเวลาออกไป ซึ่งตัวอย่างแรกก็คือ นโยบายการยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งเดิมมีการประกาศไว้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่สนามราชมังคลาฯ แต่เอาเข้าจริง ยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกฯก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็นการยกเลิกกองทุนน้ำมัน แต่เป็นการเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลงทันที แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าราคาก๊าซหุงต้ม จะราคาแพงขึ้นหรือไม่ ซึ่งก็ยังไม่มีใครตำหนิได้เต็มปากเพราะรัฐบาลยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง นโยบายก็ยังร่างกันไม่เสร็จ หรือเป็นเพราะคนพูดและคนฟังผิดเพี้ยนกันไปเอง

แต่ที่น่าชัดเจนเป็นอย่างแรกก็คงจะเป็นเรื่องของ ค่าแรงขั้นต่ำ ที่ทักษิณส่งสัญญาณมาแล้วว่า ไม่ได้วันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศตามที่ได้ประกาศเอาไว้ตอนหาเสียง

แม้ว่าก่อนหน้านี้หลายคนจะเห็นตรงกันอยู่แล้วว่าแค่ “ขายฝัน” เพราะจะไปบังคับภาคเอกชนไม่ได้ หรือไม่ก็ต้องต้องปรับปรุงคณะกรรมการไตรภาคีเสียใหม่ให้สอดคล้องกัน เพราะถึงจะมีการลดหย่อนภาษีลงมามันก็จะมีปัญหาในเรื่องการอยู่รอดของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก เกิดปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่ ที่สำคัญจะเหลือกี่บริษัทที่จะมีกำลังในการจ้างค่าแรงได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมันก็เริ่มทำให้หลายคนตั้งสติหยุดคิดเสียใหม่ ว่าสิ่งที่นำมาใช้หาเสียงนั้นเป็นแค่สัญญาว่าจะให้เพื่อหลอกให้คนจน คนไม่รู้เท่าทันได้ลงคะแนนให้ชนะเลือกตั้ง เพื่อยึดอำนาจรัฐเท่านั้น

นอกจากนี้จากสัญญาณที่บิดพลิ้วดังกล่าวแล้ว มันก็ทำให้มีแนวโน้มว่านโยบายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตจบใหม่ต้องได้เงินเดือน 15,000 บาท เบี้ยยังชีพคนละ 1,000 คงจะไม่เป็นไปตามที่พูดเอาไว้ เพราะล้วนแล้วแต่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่ก็ตาม แต่เมื่อฐานการเก็บภาษียังไม่กว้างพอมันก็ยังเป็นเรื่องลำบาก ตรงกันข้ามหากยังเดินหน้าต่อไปมันก็ทำให้ถูกจับตามองว่าจะต้องเกิดภาวะเงินเฟ้อ หนี้สินจำนวนมหาศาล และที่สำคัญเที่ยวนี้มันมีคนรู้ทัน ทักษิณ มากกว่ารอบแรก มันจึงยากกว่าที่คาดเอาไว้แน่นอน

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มออกมาให้เห็นแล้วว่าบรรดานโยบายประชานิยมที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยเข้าไปคงไม่ได้ตามที่คาดหวังเอาไว้ และเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาสำรวจดัชนี้ชี้วัดกันอีกครั้ง ถึงตอนนั้นคนไทยจะมีความสุขอยู่อีกกี่คน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น