ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดมันก็เก็บอาการกันไม่มิด ทุกอย่างมันย่อมปรากฏ โผล่ขึ้นมาจนได้ โดยเฉพาะความขัดแย้ง ชิงดีชิงเด่น อยากได้ใคร่ดี ภายในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง หรือ ความเชื่อมโยงกับภายนอก ซึ่งในที่นี้จะเน้นพิจารณาไปที่คนเสื้อแดงเสียก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากได้เห็นความแตกแยกออกมาอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปถึงตรงนั้นก็ต้องขยายภาพให้เข้าใจตรงกันเสียก่อนว่า สาเหตุหลักอีกประการหนึ่งที่ “ต่อยอด” ให้พรรคเพื่อไทย และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคประชาธิปัตย์อย่างถล่มทลาย นั้นต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจาก “คนเสื้อแดง” ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี แม้จะยอมรับว่าคนเสื้อแดงเป็น “ฐานสำคัญ” ของพรรคเพื่อไทย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่อาจปฏิเสธเช่นเดียวกันว่าจากบทบาทการเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับบ้านเมือง มีพฤติกรรมเถื่อนถ่อย สร้างความโกรธ เกลียด รำคาญให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมเช่นเดียวกัน สรุปก็คือมองเป็น “ภาพลบ” ก็แล้วกัน
ด้วยภาพที่กำลังเกิดขึ้นทั้งสองด้านดังกล่าวนี่แหละกำลังสร้างปัญหาให้กับทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องใช้อำนาจรัฐผ่านทางน้องสาวของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะต้องอธิบายให้เห็นภาพดังต่อไปนี้
แม้ยอมรับว่าการได้รับชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเที่ยวนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นเพราะกระแสของทักษิณ ที่ถูกสร้างขึ้นมากันอย่างเป็นผิดปกติ ซึ่งมองให้ดีเหมือนกับเป็นลักษณะ “ซ้อนกันสองชั้น” ทางหนึ่งเกิดขึ้นจากผลงานในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาถูกนำมาขยายผลให้เกิดความสำคัญโดยผ่านทาง “แกนนำ” คนเสื้อแดงบางคนก่อน จากนั้นก็ขยายเชื่อมโยงไปยังแกนนำระดับท้องถิ่นลดหลั่นลงไป ซึ่งคนพวกนั้นก็ผสมปนเปกันไประหว่างคนที่หลงเชื่อจนรักและศรัทธาทักษิณ กับแกนนำอีกพวกหนึ่งที่เข้ามาร่วมด้วยอามิสสินจ้าง ได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหลายทั้งปวงล้วนได้ผลตอบแทน “คุ้มค่า” เป็นการแลกเปลี่ยน เพราะต่อมาหลายคนก็สามารถยกระดับขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญเพียงชั่วข้ามคืนไล่ไปตั้งแต่ จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตนักกิจกรรมจากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกือบ 8 ปีกว่าจะเรียนจบ และจับพลัดจับผลูมาเข้ามาร่วมพรรคไทยรักไทยในระดับลิ่วล้อปลายแถว หรือณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ไต่เต้ามาจากสมาชิก “สภาโจ๊ก” ขวัญชัย สาราคำ (ไพรพนา) ที่หากินอยู่ตามตีนศาลากลางจังหวัดอุดรธานี รวมไปถึงคนอื่นๆ หรือแม้แต่ เหวง โตจิราการ กับภรรยาคือธิดา ถาวรเศรษฐ์ ที่เป็นประธาน นปช.ที่ก่อนหน้านี้เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ด่าทักษิณคนขายชาติ แต่จะด้วยสาเหตุที่ต้องการเป็นผู้นำมวลชนจึงต้องกลืนน้ำลายมาเคลื่อนไหวรับใช้ทักษิณ หน้าตาเฉย
ด้วยภาพที่ติดลบในสายของคนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งดังกล่าวทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องมาชั่งน้ำหนักดูแล้วว่า ถึงเวลาจะต้องดำเนินการ “อะไรบางอย่าง” เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลมเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังต้องการให้รัฐบาล “โคลนนิ่ง” ของน้องสาวของเขาอยู่ได้นานที่สุด ซึ่งนาทีนี้นอกเหนือจากประเด็นเรื่องนิรโทษฯ เรื่องคดีล้มเจ้าแล้ว “ของร้อน” อีกอย่างหนึ่งก็คือ กรณีของคนเสื้อแดงนี่แหละ
สำหรับทักษิณ หากรู้จักสรุปบทเรียนก็ต้องเข้าใจดีกว่า ถ้าจะให้รัฐบาลน้องสาวอยู่ได้นานๆ ก็ต้องรักษา “ระยะห่าง”กับคนเสื้อแดงอย่างเหมาะสม เพราะให้เข้ามามีบทบาทภายในพรรค รัฐบาลมากเกินไปทางหนึ่งก็สร้างอิทธิพล “ขี่คอ” มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคนอย่าง ทักษิณ ไม่ชอบแน่ อีกด้านหนึ่งก็ต้องรับรู้เช่นเดียวกันว่า ในพวกแดงนั้นก็มีหลายประเภทนั่นคือ “แดงในไส้” และ “แดงนอกไส้”
ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะแดงนอกไส้ก่อน สรุปก็คือไม่ใช่เนื้อแท้มาแต่เดิม เพิ่งมาเกาะเกี่ยวโหนกระแส หรือมา “ร่วมทาง” เท่านั้น แต่เป้าหมายข้างหน้าคนละอย่าง
คนพวกนี้หากพูดให้ตรงๆก็มีทั้งพวก “ซ้ายอารมณ์ค้าง” ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหม่เป็นสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่า กลุ่มหลังนี้ก็ย่อมมี เหวง โตจิราการ ที่กำหนดทิศทางโดยภรรยาคือ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ที่ปัจจุบันเป็นรักษาการประธาน นปช.นั่นเอง หรือแม้แต่กลุ่ม “แดงสยาม” กลุ่มนักวิชาการซ้ายจัด เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในเวลานี้เมื่อเดินมาถึง “ทางแยกที่สำคัญ” ทำให้ ทักษิณ ต้องมาตัดสินใจว่าจะต้องให้น้ำหนักกับฝ่ายไหนเป็นหลัก ซึ่งมันก็มาถึงบทสรุปว่าต้องลดบทบาทหัวโจกคนเสื้อแดงลง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาลก่อนจะเสีย “การใหญ่” ภายหน้า ขณะเดียวกันถึงเวลาที่ต้องเขี่ยทิ้งพวก “แดงนอกไส้” ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้มาเกาะเกี่ยวหาประโยชน์ รวมไปถึงป้องกัน “ขี่คอ” ในภายหน้า
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้เริ่มเห็นอาการความขัดแย้งภายในองค์กรคนเสื้อแดง และคาดว่าจะต้องแตกออกเป็น “หลายเสี่ยง” แน่นอน เพราะถึงที่สุดแล้ว ทักษิณจะต้องคัดเอาเฉพาะพวกแดงในไส้ไว้ก่อน เพราะนี่คือภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำ ส่วนเรื่องนิรโทษกรรมฯซึ่งเป็นเป้าหมายหลักน่าจะรอไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบในตอนนี้ เพราะสังคมยังจับจ้อง
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากลักษณะนิสัยของทักษิณนั้น เขาไม่ใช่เป็นคนที่มี “อุดมการณ์” ทางการเมือง แต่เขาเป็นแค่นักธุรกิจทางการเมือง สิ่งที่ต้องการแท้จริงคือ “ผลกำไรสูงสุด” ดังนั้นอะไรก็ได้หากทำให้เขามีอำนาจ แล้วสามารถทำธุรกิจสร้างกำไรสูงสุดก็ต้องเดินไปทางนั้นอยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อเขาสามารถผลักดันน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ เขาก็ต้องสรุปบทเรียนต้องอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด เมื่อพวกเสื้อแดงบางกลุ่มที่เป็น “ของร้อน” สร้างเงื่อนไขและที่สำคัญยังไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่มาเกาะเกี่ยวหาประโยชน์เขาก็ต้องหาทางตัดทิ้งไป อีกทั้งที่ผ่านมาก็ได้ตอบแทนให้ไปมากมายสมน้ำสมเนื้อแล้ว!!