“คำนูณ” ชี้ เหตุ ปชป.แพ้ ไม่รู้จักใช้วิกฤตสร้างผลงาน สู้กับเพื่อไทย-เสื้อแดงแบบชักเขาชักออก ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีกลไกรักษาพื้นที่ของตัวเองไว้ได้เหนียวแน่น ระบุเลือกตั้งยังไม่ใช่ทุกสิ่งอย่าง ต้องปฏิรูประบบอีกมาก เตือน “เพื่อแม้ว” ทำขัดความรู้สึกประชาชน อยู่ไม่ได้ ด้าน “ประพันธ์” ชี้ เหตุ “มาร์ค” แพ้เพราะหยิ่งผยอง ไม่เห็นคุณค่าของมวลชนที่สนับสนุน เตือน “ยิ่งลักษณ์” อย่าเหิม ชนะเลือกตั้งไม่ใช่ได้อาญาสิทธิ์
นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหา ให้ความเห็นในรายการพิเศษ ทางเอเอสทีวี ว่า ตามผลเอ็กซิตโพลที่ออกมา ถือว่าไม่เหนือความคาดหมายมากนัก อาจจะแปลกใจเล็กน้อยที่พรรคเพื่อไทยได้ถึง 300 เสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องถือว่าพรรคตกต่ำ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค เพราะถือว่าพรรคตกต่ำมาก เป็นนายกฯ เกือบ 3 ปี มีโอกาสสร้างผลงานได้มากมาย อาจจะอ้างว่าเป็นช่วงที่ประเทศมีวิกฤต แต่ในวิกฤตก็มีโอกาสที่จะทำอะไรได้ จะเห็นว่า ช่วงหลังสงกรานต์ปี 2552 หรือหลังวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลสามารถที่จะทำอะไรที่มันจะแหลวกออกไปจากแนวเดิมๆ ได้ เหมือนที่ทำในช่วงสุดท้ายของการหาเสียง ซึ่งถ้าทำตั้งแต่หลังเมษายน 52 หรือพฤษภาคม 53 สถานการณ์จะไม่ออกมาเป็นอย่างนี้
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ผลเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยยังสามารถรักษาสนามเลือกตั้งของตัวเอง ตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคไทยรักไทยไว้ได้ รบเมื่อไหร่ชนะเมื่อนั้น ตั้งแต่ปี 2544, 2548 แม้แต่ปี 2550 ที่มีรัฐบาลมาจากคณะรัฐประหาร นั่นเพราะสนามเลือกตั้งเป็นพื้นที่ของเขา ประชาธิปัตย์จึงแพ้มาตลอด ถ้าไม่มีการลุกขึ้นมาต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงจะไม่ตกจากอำนาจในปี 2549 ถ้าลำพังต่อสู้แบบเดิมๆ ประชาธิปัตย์คงเป็นฝ่ายค้านตลอดชีวิต
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องมาหาคำตอบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ โค้งสุดท้ายของการหาเสียงที่มีการชูประเด็นไม่ให้เลือกคนเผาเมือง หรือต่อต้านคนที่ทำให้สถาบันกระทบกระเทือน รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ออกมา ตนมีจุดยืนปกป้องสถาบันเช่นเดียวกัน แต่เห็นว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลทำมา 2-3 ปี โดยรัฐบาลก็ดี กองทัพก็ดี สู้แบบชักเข้าชักออก ไม่มีทางชนะ ซึ่งเอเอสทีวีรวมทั้งวิทยากรที่มาออกรายการที่นี่ส่วนใหญ่ก็วิพากษ์วิจารณ์มาตลอดตั้งรัฐบาลคณะรัฐประหารว่าแนวทางการต่อสู้แบบนี้มันไม่ชนะ
เชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามทำใจเรื่องนี้มาแล้วสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่เปิดเวทีราชประสงค์ และนายอภิสิทธิ์ ชวนทะเลาะอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงโค้งสุดท้าย รวมทั้งการออกมาขององค์กรต่างๆ มันเป็นดาบสองคม ที่ไปประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการตัดสินอนาคตประเทศ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าการที่ประชาธิปัตย์แพ้อย่างถล่มทลาย แม้แต่ในกรุงเทพฯ แสดงว่าประชาชนไม่เอาด้วยกับพวกคุณใช่หรือไม่ ทั้งนี้ การเลือกในประเทศไทยไม่ใช่ทุกอย่างของประชาธิปไตย ระบอบในปัจจุบันยังมีปัญหาต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ในมุมมองของเรา ไม่เห็นว่า การเลือกตั้งมีความสลักสำคัญสูงสุดถึงขนาดว่าเป็นเจตจำนงของคนไทยทั้งหมด มันยังพิกลพิการ และไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบอารายะประเทศ แต่เป็นเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง
“เพราะฉะนั้นอย่าตระหนกตกใจกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ พี่น้องที่มีจิตเจตนาคล้ายพวกเราเมื่อเห็นผลออกมาอย่างนี้อาจจะเอามือก่ายหน้าผาก แต่ทุกอย่างมีวิถีทางออกของมัน อย่าคิดว่าทุกสิ่งอย่างมันเป็นบทสุดท้าย”
นายคำนูณ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยคงได้เป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน อาจมีพรรคอื่นเข้ามาร่วมอีก 2-3 พรรค เพราะมีบทเรียนไม่อยากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว อาจจะดึงเอาจอมปรองดองอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามา เพราะเคยไปช่วยประกันตัวคนเสื้อแดง หรืออาจเอา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เข้ามา และพรรคเพื่อไทยมีภาระข้างหน้าที่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป การชนะเลือกตั้งเข้ามาแล้วหักหาญกระทำการที่ขัดความรู้สึกของประชาชนและทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาก็จะทำให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน
ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า จุดยืนของพี่น้องที่ต่อสู้ร่วมกันมานั้นคัดค้านทั้งพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย เพราะเห็นว่าไม่ใช่อนาคตและทางเลือก การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นคำตอบของประเทศไทย ผลเอ็กซิตโพลที่ออกมาเชื่อแน่ว่าพรรคเพื่อไทยคงชนะเกินครึ่งแน่นอน ซึ่งเป็นไปตามที่ตนคาดหมายไว้ส่วนตัว และพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ถล่มทลาย
นายประพันธ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะได้มากกว่า 250 เสียง ก็เพราะว่า ตลอดเวลาตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน ไม่ว่าจะมีความเสียหายผิดพลาด ถูกศาลตัดสิน เผาบ้านเผาเมือง ชนชั้นกลางไม่เลือกแล้วก็ตามแต่ แต่เขาวสามารถรักษาความเป็นพรรคเอาไว้ได้ นั่นคือ การรักษาฐานมวลชนที่มีอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยเขาจะแก้ตัวกับมวลชนของเขาอย่างไรก็แล้วแต่ การจัดการพรรคของเขาเป็นระบบใหญ่โตทุกแนวรบ ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ มวลชน สื่อ ตลอดจนนักเลงหัวไม้ ระบบอุปถัมภ์ ทุกอย่างเขามีครบ
ถ้าเป็นการเลือกตั้งแบบประเทศไทย เขารู้วิธีการทำให้ชนะดีกว่าทุกพรรค เพราะเขารู้ธรรมชาติวิธีการเอาชนะ ตั้งแต่กลไกราชการ ระบบยุติธรรม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เขาวางแผนเป็นระบบ เล็งผลสัมฤทธิ์ รู้ว่าปัจจัยที่ทำให้ชนะอยู่ตรงไหนทำตรงนั้นก่อน แต่พรรคอื่นทำตามยถากรรม ยิ่งเมื่อมาบริหารประเทศแล้วทำไม่ได้ บุญหล่นทับได้เป็นนายกฯ แล้วก็ทำอะไรไม่เป็น แถมทำลายมวชนที่เคยสนับสนุนอีก ขณะที่กลไกรัฐก็ไม่เป็นใจ
นายประพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มองออก แต่ก็ติดกับดักตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง หยิ่งผยอง ไม่มีนักการเมืองคนไหนจะเปิดศึกกับประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้งเหมือนนายอภิสิทธิ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีระบบอุปถัมภ์ที่ดูแลกันมาตลอด ถึงวันเลือกตั้งแล้วอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ ขณะที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจกลไกของมวลชน เมื่อพิจารณาจากผลงาน 2 ปีที่ไม่ทำอะไร ทั้งที่เสื้อแดงเผาเมืองถอยร่นไปแล้ว แต่ไม่จัดการจริงจัง มาเจอเรื่องเขาพระวิหาร เรื่องมรดกโลกก็ยืนตรงข้ามกับประชาชน ผลักไสคนไทยด้วยกันไปติดคุก แล้วเถียงประชาชนคอเป็นเอ็น ชาตินี้จึงไม่มีวันเอาชนะคู่แข่ง เพราะไม่รู้ตัวเอง สำคัญตัวเองผิด มองไม่เห็นคุณค่าประชาชนที่สนับสนุน
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ผลเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นว่าพรรคเพื่อไทยสามารถกินพื้นที่เข้ามาในภาคกลาง จากเดิมที่มีฐานเสียงในภาคเหนือ-อีสาน แต่ตนก็ไม่คิดว่าประชาชนชื่นชมยกย่องพรรคเพื่อไทย เป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นทำลายความนิยมของตัวเองมากกว่า ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะเหิมเกริมไม่ได้ ถ้ายังโกง และใช้อำนาจเพื่อพวกพ้องของตัวเองฟอกความผิด สังคมก็จะไม่ยอมรับ และหลังจากนี้ประชาชนต้องจับตาว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรตามอำเภอใจหรือไม่ เพราะผลเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าประชาชนให้อาญาสิทธิ์ไปทำอะไรก็ได้ ต่อให้ได้ทั้ง 500 เสียงก็ตาม เพราะการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นการเลือกตั้งสกปรก เอาชนะกันด้วยกลเกม ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะชี้ว่าสังคมส่วนใหญ่คล้อยตามและเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคนี้ และอยากให้ดูคะแนนโหวตโนที่จะเป็นตัวคาน รวมถึงคะแนนจากประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลที่จะขึ้นมาใหม่