ASTVผู้จัดการรายวัน - "สนธิ" ไม่หวังการเมืองหลังเลือกตั้งจะทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง ชี้ทุกอย่างยังเป็นระบบการเมืองเก่า เชื่อความขัดแย้งจะมากขึ้น "คำนูณ" ชี้เหตุ ปชป.แพ้เพราะไม่รู้จักใช้วิกฤตสร้างผลงานสู้เพื่อไทย "ประพันธ์" ซัดทิ้งมวลชนทำพ่ายหมดรูป เตือน "ยิ่งลักษณ์" อย่าเหิมชนะเลือกตั้งไม่ใช่ได้อาญาสิทธิ์ ด้านโฆษกพันธมิตรฯ ยันเตรียมต้านนิรโทษกรรมเต็มสูบ เผยบัญชีรายชื่อโหวตโน 800,751 บัตร และบัตรเสีย 1,381,938 บัตร รวมแล้วกว่า 2 ล้านเสียง
วานนี้ (3 ก.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวภายหลังเดินทางไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ลำดับที่ 378 หน่วยเลือกตั้งที่ 3 เขตเลือกตั้งที่ 1 แขวงชนะสงคราม เขตพระนครว่า ไม่มีความคาดหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่หวังเพียงประชาชนที่ไม่พอใจในระบบการเมืองและนักการเมืองปัจจุบัน โดยเฉพาะเห็นว่านักการเมืองไม่สามารถนำพาประเทศชาติได้ จะออกมาใช้สิทธิ์ของตนเอง เพื่อกดดันสังคม ส่วนพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคใดที่ได้รับการเลือกตั้ง เห็นว่า เป็นระบบการเมืองเก่าทั้งนั้น ที่สำคัญคือ ทุกคนมุ่งหวังที่จะเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ จะสังเกตได้จากการหาเสียง ซึ่งเห็นว่าทุกพรรคการเมืองทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คือ สัญญาว่าจะให้ รวมถึงบทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด ให้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
นายสนธิ ยังระบุด้วยว่า การเมืองหลังจากนี้ไปคงจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่ความขัดแย้งจะยิ่งเกิดมากขึ้น เนื่องจากกติกาไม่เปลี่ยนแปลง นักการเมืองหวังโกงกินบ้านเมือง ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติไปไม่รอด
"ผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่หวังว่าประชาชนที่ไม่พอใจระบบการเมืองปัจจุบันที่เห็นพ้องว่า ระบบปัจจุบันไม่สามารถนำพาชาติบ้านเมืองต่อไปได้ ผมหวังว่าประชาชนจะใช้สิทธิ์ของตัวเอง เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับสังคม เพราะว่าในช่วง 30 กว่าวันที่ผ่านมา ในการหาเสียง เราจะเห็นได้ชัดว่าทุกคนมุ่งหวังว่าจะเอาผลประโยชน์มาล่อประชาชน และทุกพรรคก็ทำผิดกฎหมายกันหมดคือ สัญญาว่าจะให้
"มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรอกครับ มันจะมีแต่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เพราะกติกาไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทุกคนยังมุ่งหวังว่าจะเข้าไปฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาใหญ่ๆ ของชาติบ้านเมืองไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาการเสียดินแดน ปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน" นายสนธิกล่าว
ทางด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหา ให้ความเห็นในรายการพิเศษ ทางเอเอสทีวีว่า ตามผลเอ็กซิตโพลที่ออกมาหลังการปิดหีบบัตรเลือกตั้ง ว่า ผลที่ออกมาถือว่าไม่เหนือความคาดหมายมากนัก อาจจะแปลกใจเล็กน้อยที่พรรคเพื่อไทยได้ถึง 300 เสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องถือว่าพรรคตกต่ำ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค เพราะถือว่าพรรคตกต่ำมาก เป็นนายกฯ เกือบ 3 ปี มีโอกาสสร้างผลงานได้มากมาย อาจจะอ้างว่าเป็นช่วงที่ประเทศมีวิกฤต แต่ในวิกฤตก็มีโอกาสที่จะทำอะไรได้ จะเห็นว่าช่วงหลังสงกรานต์ปี 2552 หรือหลังวันที่ 19 พ.ค. 2553 รัฐบาลสามารถที่จะทำอะไรที่มันจะแหวกออกไปจากแนวเดิมๆ ได้ เหมือนที่ทำในช่วงสุดท้ายของการหาเสียง ซึ่งถ้าทำตั้งแต่หลังเม.ย. 52 หรือ พ.ค. 53 สถานการณ์จะไม่ออกมาเป็นอย่างนี้
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ผลเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยยังสามารถรักษาสนามเลือกตั้งของตัวเองตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคไทยรักไทยไว้ได้ รบเมื่อไหร่ชนะเมื่อนั้น ตั้งแต่ปี 2544 , 2548 แม้แต่ปี 2550 ที่มีรัฐบาลมาจากคณะรัฐประหาร นั่นเพราะสนามเลือกตั้งเป็นพื้นที่ของเขา ประชาธิปัตย์จึงแพ้มาตลอด ถ้าไม่มีการลุกขึ้นมาต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงจะไม่ตกจากอำนาจในปี 2549 ถ้าลำพังต่อสู้แบบเดิมๆ ประชาธิปัตย์คงเป็นฝ่ายค้านตลอดชีวิต
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องมาหาคำตอบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ โค้งสุดท้ายของการหาเสียงที่มีการชูประเด็นไม่ให้เลือกคนเผาเมืองหรือต่อต้านคนที่ทำให้สถาบันกระทบกระเทือน รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ออกมา ตนมีจุดยืนปกป้องสถาบันเช่นเดียวกัน แต่เห็นว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลทำมา 2-3 ปี โดยรัฐบาลก็ดี กองทัพก็ดี สู้แบบชักเข้าชักออก ไม่มีทางชนะ ซึ่งเอเอสทีวีรวมทั้งวิทยากรที่มาออกรายการที่นี่ส่วนใหญ่ก็วิพากษ์วิจารณ์มาตลอดตั้งแต่รัฐบาลคณะรัฐประหารว่าแนวทางการต่อสู้แบบนี้มันไม่ชนะ
เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ พยายามทำใจเรื่องนี้มาแล้วสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่เปิดเวทีราชประสงค์ และนายอภิสิทธิ์ ชวนทะเลาะอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงโค้งสุดท้าย รวมทั้งการออกมาขององค์กรต่างๆ มันเป็นดาบสองคม ที่ไปประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการตัดสินอนาคตประเทศ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าการที่ประชาธิปัตย์แพ้อย่างถล่มทลาย แสดงว่าประชาชนไม่เอาด้วยกับพวกคุณใช่หรือไม่ ทั้งนี้ การเลือกในประเทศไทยไม่ใช่ทุกอย่างของประชาธิปไตย ระบอบในปัจจุบันยังมีปัญหาต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ในมุมมองของเรา ไม่เห็นว่าการเลือกตั้งมีความสลักสำคัญสูงสุดถึงขนาดว่าเป็นเจตจำนงของคนไทยทั้งหมด มันยังพิกลพิการ และไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบอารายะประเทศ แต่เป็นเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง
เพราะฉะนั้นอย่าตระหนกตกใจกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ พี่น้องที่มีจิตเจตนาคล้ายพวกเราเมื่อเห็นผลออกมาอย่างนี้อาจจะเอามือก่ายหน้าผาก แต่ทุกอย่างมีวิถีทางออกของมัน อย่าคิดว่าทุกสิ่งอย่างมันเป็นบทสุดท้ายนายคำนูณ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยคงได้เป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน อาจมีพรรคอื่นเข้ามาร่วมอีก 2-3 พรรค เพราะมีบทเรียนไม่อยากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว อาจจะดึงเอาจอมปรองดองอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามา เพราะเคยไปช่วยประกันตัวคนเสื้อแดง หรืออาจเอานายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เข้ามา และพรรคเพื่อไทย มีภาระข้างหน้าที่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป การชนะเลือกตั้งเข้ามาแล้วหักหาญกระทำการที่ขัดความรู้สึกของประชาชนและทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาก็จะทำให้การบริหารประเทศไม่เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน
ด้านนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า จุดยืนของพี่น้องที่ต่อสู้ร่วมกันมานั้นคัดค้านทั้งพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย เพราะเห็นว่าไม่ใช่อนาคตและทางเลือก การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นคำตอบของประเทศไทย ผลเอ็กซิตโพลที่ออกมาเชื่อแน่ว่าพรรคเพื่อไทยคงชนะเกินครึ่งแน่นอน ซึ่งเป็นไปตามที่ตนคาดหมายไว้ส่วนตัว และพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ถล่มทลาย
นายประพันธ์กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้มากกว่า 250 เสียงก็เพราะว่า ตลอดเวลาตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน ไม่ว่าจะมีความสียหายผิดพลาด ถูกศาลตัดสิน เผาบ้านเผาเมือง ชนชั้นกลางไม่เลือกแล้วก็ตามแต่ แต่เขาวสามารถรักษาความเป็นพรรคเอาไว้ได้ นั่นคือการรักษาฐานมวลชนที่มีอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยเขาจะแก้ตัวกับมวลชนของเขาอย่างไรก็แล้วแต่ การจัดการพรรคของเขาเป็นระบบใหญ่โตทุกแนวรบ ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ มวลชน สื่อ ตลอดจนนักเลงหัวไม้ ระบบอุปถัมภ์ ทุกอย่างเขามีครบ
"ถ้าเป็นการเลือกตั้งแบบประเทศไทย เขารู้วิธีการทำให้ชนะดีกว่าทุกพรรค เพราะเขารู้ธรรมชาติวิธีการเอาชนะ ตั้งแต่กลไกราชการ ระบบยุติธรรม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เขาวางแผนเป็นระบบ เล็งผลสัมฤทธิ์ รู้ว่าปัจจัยที่ทำให้ชนะอยู่ตรงไหนทำตรงนั้นก่อน แต่พรรคอื่นทำตามยถากรรม ยิ่งเมื่อมาบริหารประเทศแล้วทำไม่ได้ บุญหล่นทับได้เป็นนายกฯ แล้วก็ทำอะไรไม่เป็น แถมทำลายมวชนที่เคยสนับสนุนอีก ขณะที่กลไกรัฐก็ไม่เป็นใจ" นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวว่าเรื่องนี้ ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มองออก แต่ก็ติดกับดักตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง หยิ่งผยอง ไม่มีนักการเมืองคนไหนจะเปิดศึกกับประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้งเหมือนนายอภิสิทธิ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีระบบอุปถัมภ์ที่ดูแลกันมาตลอด ถึงวันเลือกตั้งแล้วอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ ขณะที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจกลไกของมวลชน เมื่อพิจารณาจากผลงาน 2 ปีที่ไม่ทำอะไร ทั้งที่เสื้อแดงเผาเมืองถอยร่นไปแล้ว แต่ไม่จัดการจริงจัง มาเจอเรื่องเขาพระวิหาร เรื่องมรดกโลกก็ยืนตรงข้ามกับประชาชน ผลักไสคนไทยด้วยกันไปติดคุก แล้วเถียงประชาชนคอเป็นเอ็น ชาตินี้จึงไม่มีวันเอาชนะคู่แข่ง เพราะไม่รู้ตัวเอง สำคัญตัวเองผิด มองไม่เห็นคุณค่าประชาชนที่สนับสนุน
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ผลเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นว่าพรรคเพื่อไทยสามารถกินพื้นที่เข้ามาในภาคกลาง จากเดิมที่มีฐานเสียงในภาคเหนือ-อีสาน แต่ตนก็ไม่คิดว่าประชาชนชื่นชมยกย่องพรรคเพื่อไทย เป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นทำลายความนิยมของตัวเองมากกว่า ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะเหิมเกริมไม่ได้ ถ้ายังโกง และใช้อำนาจเพื่อพวกพ้องของตัวเองฟอกความผิด สังคมก็จะไม่ยอมรับ
โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ประชาชนต้องจับตาว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรตามอำเภอใจหรือไม่ เพราะผลเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าประชาชนให้อาญาสิทธิ์ไปทำอะไรก็ได้ ต่อให้ได้ทั้ง 500 เสียงก็ตาม เพราะการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นการเลือกตั้งสกปรก เอาชนะกันด้วยกลเกม ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะชี้ว่าสังคมส่วนใหญ่คล้อยตามและเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคนี้ และอยากให้ดูคะแนนโหวตโนที่จะเป็นตัวคาน รวมถึงคะแนนจากประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลที่จะขึ้นมาใหม
ส่วนนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการคาดคะเนผลการเลือกตั้งโดยเอ็กซิตโพลของสำนักต่างๆ ที่ระบุตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย ว่า ผลการเลือกตั้งที่คาดว่าจะออกมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงการที่พรรคประชาธิปัคย์ที่ไม่สามาถชนะใจประชาชนจำนวนมากได้ ตลอด 2 ปีครึ่งที่ได้โอกาสทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ทั้งที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่ทำให้ประชาชนเห็นถึงภยันตรายของกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กลับล้มเหลวที่จะจัดการกับขบวนการเหล่านี้
อีกทั้งยังมีในส่วนของประชาชนที่ไม่ยืนข้างไหน แต่พบว่า รัฐบาลนี้มีการทุจริตคอร์รัปชัน มีปัญหาด้านเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน เมื่อมองแล้วก็ไม่ต่างจากพรรคไทยรักไทยในอดีต โดยเมื่อมองถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หลายคนก็มองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เคยเป็นนักบริหารระดับสูงในวงการธุรกิจมาก่อน มีความหวังที่จะให้การเข้ามาทำงานในฐานะฝ่ายบริหารมากกว่า
" ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ยังมองข้ามการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่สามารถใช้กำลังข้างประชาชนในการทัดทานการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ในทางตรงข้ามกลับมีความพยายามกำจัดพันธมิตรฯ กลั่นแกล้งเอเอสทีวี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ประชาชนสั่งสมมาเป็นความลัมเหลวของพรรคประชาธิปัตย์"
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค สมควรรับผิดชอบ โดยการพิจารณาตัวเองลาออกจากตำแหน่งทั้งคู่ เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์โดยทันที เพราะถือว่าเป็นผู้บริหารที่ล้มเหลว ทั้งในส่วนของพรรค และในการนำพาประเทศไปสู่ความล้มเหลว จนทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพันธมิตรฯเองยังรอดูผลการลงคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโนว่าจะได้ถึง 26 เขต ในการยับยั้งระบอบทักษิณได้หรือไม่ ในเวลานี้ผลจะออกมาอย่างไรไม่สามารถทราบได้ เพราะที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์โหมใช้สื่อของรัฐ และเครือข่ายของตัวเองทุกองคาพยพในการต่อต้านการรณรงค์โหวตโน
"หากผลที่ออกมาไม่ได้ถึง 26 เขต แสดงว่า ประชาชนส่วนใหญ่เลือกแล้วจำนนต่อระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นสิทธิ โดยในส่วนภาคประชาชน เราถือว่าทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเราก็เคยย้ำแล้วว่าหากนำคะแนนโหวตโนไปรวมกับของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้ แต่หากกองเชียร์พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมโหวตโนกับพันธมิตรฯจะต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยได้มากกว่า เมื่อไม่พร้อมใจ ไม่เสียสละ ก็เป็นการตัดคะแนนกันเอง" นายปานเทพ ระบุ
เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะจริง มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายปานเทพ กล่าวว่า จากท่าทีหลังสุดของพรรคเพื่อไทย หลังจากที่มีแรงต้านของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และภาคประชาชน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจะไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่พี่ชายตัวเอง อย่างไรก็ดี ยังไม่สามารถไว้วางใจได้กับสิ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหากมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจริง ขอยืนยันว่า จะคัดค้าน และจะทำหน้าที่ของภาคประชาชนอย่างเข้มข้น
***โหวตโนรวมบัตรเสียกว่า 2 ล้านเสียง
เวปไซต์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รายงานผลคะแนนแบบส.ส.บัญชีรายชื่อเมื่อเวลา 20.15 น.ว่า การนับคะแนนไปแล้ว 81.50 % มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ 30,960,948 คน ไม่ประสงค์ลงคะแนน 800,751 บัตร และบัตรเสีย 1,381,938 บัตร ขณะที่ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้นรวม 44,002,593 คน ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 32,759,009 คน คิดเป็น 74.45 % โดยการใช้สิทธิแบบส.ส.บัญชีรายชื่อ บัตรเสีย คิดเป็น 5.57 % บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน คิดเป็น 2.85 %ส่วนแบบแบ่งเขต บัตรเสีย คิดเป็น 2.55 % บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน คิดเป็น 4.57 %
วานนี้ (3 ก.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวภายหลังเดินทางไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ลำดับที่ 378 หน่วยเลือกตั้งที่ 3 เขตเลือกตั้งที่ 1 แขวงชนะสงคราม เขตพระนครว่า ไม่มีความคาดหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่หวังเพียงประชาชนที่ไม่พอใจในระบบการเมืองและนักการเมืองปัจจุบัน โดยเฉพาะเห็นว่านักการเมืองไม่สามารถนำพาประเทศชาติได้ จะออกมาใช้สิทธิ์ของตนเอง เพื่อกดดันสังคม ส่วนพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคใดที่ได้รับการเลือกตั้ง เห็นว่า เป็นระบบการเมืองเก่าทั้งนั้น ที่สำคัญคือ ทุกคนมุ่งหวังที่จะเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ จะสังเกตได้จากการหาเสียง ซึ่งเห็นว่าทุกพรรคการเมืองทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คือ สัญญาว่าจะให้ รวมถึงบทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด ให้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
นายสนธิ ยังระบุด้วยว่า การเมืองหลังจากนี้ไปคงจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่ความขัดแย้งจะยิ่งเกิดมากขึ้น เนื่องจากกติกาไม่เปลี่ยนแปลง นักการเมืองหวังโกงกินบ้านเมือง ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติไปไม่รอด
"ผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่หวังว่าประชาชนที่ไม่พอใจระบบการเมืองปัจจุบันที่เห็นพ้องว่า ระบบปัจจุบันไม่สามารถนำพาชาติบ้านเมืองต่อไปได้ ผมหวังว่าประชาชนจะใช้สิทธิ์ของตัวเอง เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับสังคม เพราะว่าในช่วง 30 กว่าวันที่ผ่านมา ในการหาเสียง เราจะเห็นได้ชัดว่าทุกคนมุ่งหวังว่าจะเอาผลประโยชน์มาล่อประชาชน และทุกพรรคก็ทำผิดกฎหมายกันหมดคือ สัญญาว่าจะให้
"มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรอกครับ มันจะมีแต่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เพราะกติกาไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทุกคนยังมุ่งหวังว่าจะเข้าไปฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาใหญ่ๆ ของชาติบ้านเมืองไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาการเสียดินแดน ปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน" นายสนธิกล่าว
ทางด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหา ให้ความเห็นในรายการพิเศษ ทางเอเอสทีวีว่า ตามผลเอ็กซิตโพลที่ออกมาหลังการปิดหีบบัตรเลือกตั้ง ว่า ผลที่ออกมาถือว่าไม่เหนือความคาดหมายมากนัก อาจจะแปลกใจเล็กน้อยที่พรรคเพื่อไทยได้ถึง 300 เสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องถือว่าพรรคตกต่ำ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค เพราะถือว่าพรรคตกต่ำมาก เป็นนายกฯ เกือบ 3 ปี มีโอกาสสร้างผลงานได้มากมาย อาจจะอ้างว่าเป็นช่วงที่ประเทศมีวิกฤต แต่ในวิกฤตก็มีโอกาสที่จะทำอะไรได้ จะเห็นว่าช่วงหลังสงกรานต์ปี 2552 หรือหลังวันที่ 19 พ.ค. 2553 รัฐบาลสามารถที่จะทำอะไรที่มันจะแหวกออกไปจากแนวเดิมๆ ได้ เหมือนที่ทำในช่วงสุดท้ายของการหาเสียง ซึ่งถ้าทำตั้งแต่หลังเม.ย. 52 หรือ พ.ค. 53 สถานการณ์จะไม่ออกมาเป็นอย่างนี้
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ผลเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยยังสามารถรักษาสนามเลือกตั้งของตัวเองตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคไทยรักไทยไว้ได้ รบเมื่อไหร่ชนะเมื่อนั้น ตั้งแต่ปี 2544 , 2548 แม้แต่ปี 2550 ที่มีรัฐบาลมาจากคณะรัฐประหาร นั่นเพราะสนามเลือกตั้งเป็นพื้นที่ของเขา ประชาธิปัตย์จึงแพ้มาตลอด ถ้าไม่มีการลุกขึ้นมาต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงจะไม่ตกจากอำนาจในปี 2549 ถ้าลำพังต่อสู้แบบเดิมๆ ประชาธิปัตย์คงเป็นฝ่ายค้านตลอดชีวิต
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องมาหาคำตอบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ โค้งสุดท้ายของการหาเสียงที่มีการชูประเด็นไม่ให้เลือกคนเผาเมืองหรือต่อต้านคนที่ทำให้สถาบันกระทบกระเทือน รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ออกมา ตนมีจุดยืนปกป้องสถาบันเช่นเดียวกัน แต่เห็นว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลทำมา 2-3 ปี โดยรัฐบาลก็ดี กองทัพก็ดี สู้แบบชักเข้าชักออก ไม่มีทางชนะ ซึ่งเอเอสทีวีรวมทั้งวิทยากรที่มาออกรายการที่นี่ส่วนใหญ่ก็วิพากษ์วิจารณ์มาตลอดตั้งแต่รัฐบาลคณะรัฐประหารว่าแนวทางการต่อสู้แบบนี้มันไม่ชนะ
เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ พยายามทำใจเรื่องนี้มาแล้วสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่เปิดเวทีราชประสงค์ และนายอภิสิทธิ์ ชวนทะเลาะอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงโค้งสุดท้าย รวมทั้งการออกมาขององค์กรต่างๆ มันเป็นดาบสองคม ที่ไปประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการตัดสินอนาคตประเทศ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าการที่ประชาธิปัตย์แพ้อย่างถล่มทลาย แสดงว่าประชาชนไม่เอาด้วยกับพวกคุณใช่หรือไม่ ทั้งนี้ การเลือกในประเทศไทยไม่ใช่ทุกอย่างของประชาธิปไตย ระบอบในปัจจุบันยังมีปัญหาต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ในมุมมองของเรา ไม่เห็นว่าการเลือกตั้งมีความสลักสำคัญสูงสุดถึงขนาดว่าเป็นเจตจำนงของคนไทยทั้งหมด มันยังพิกลพิการ และไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบอารายะประเทศ แต่เป็นเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง
เพราะฉะนั้นอย่าตระหนกตกใจกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ พี่น้องที่มีจิตเจตนาคล้ายพวกเราเมื่อเห็นผลออกมาอย่างนี้อาจจะเอามือก่ายหน้าผาก แต่ทุกอย่างมีวิถีทางออกของมัน อย่าคิดว่าทุกสิ่งอย่างมันเป็นบทสุดท้ายนายคำนูณ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยคงได้เป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน อาจมีพรรคอื่นเข้ามาร่วมอีก 2-3 พรรค เพราะมีบทเรียนไม่อยากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว อาจจะดึงเอาจอมปรองดองอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามา เพราะเคยไปช่วยประกันตัวคนเสื้อแดง หรืออาจเอานายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เข้ามา และพรรคเพื่อไทย มีภาระข้างหน้าที่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป การชนะเลือกตั้งเข้ามาแล้วหักหาญกระทำการที่ขัดความรู้สึกของประชาชนและทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาก็จะทำให้การบริหารประเทศไม่เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน
ด้านนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า จุดยืนของพี่น้องที่ต่อสู้ร่วมกันมานั้นคัดค้านทั้งพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย เพราะเห็นว่าไม่ใช่อนาคตและทางเลือก การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นคำตอบของประเทศไทย ผลเอ็กซิตโพลที่ออกมาเชื่อแน่ว่าพรรคเพื่อไทยคงชนะเกินครึ่งแน่นอน ซึ่งเป็นไปตามที่ตนคาดหมายไว้ส่วนตัว และพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ถล่มทลาย
นายประพันธ์กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้มากกว่า 250 เสียงก็เพราะว่า ตลอดเวลาตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน ไม่ว่าจะมีความสียหายผิดพลาด ถูกศาลตัดสิน เผาบ้านเผาเมือง ชนชั้นกลางไม่เลือกแล้วก็ตามแต่ แต่เขาวสามารถรักษาความเป็นพรรคเอาไว้ได้ นั่นคือการรักษาฐานมวลชนที่มีอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยเขาจะแก้ตัวกับมวลชนของเขาอย่างไรก็แล้วแต่ การจัดการพรรคของเขาเป็นระบบใหญ่โตทุกแนวรบ ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ มวลชน สื่อ ตลอดจนนักเลงหัวไม้ ระบบอุปถัมภ์ ทุกอย่างเขามีครบ
"ถ้าเป็นการเลือกตั้งแบบประเทศไทย เขารู้วิธีการทำให้ชนะดีกว่าทุกพรรค เพราะเขารู้ธรรมชาติวิธีการเอาชนะ ตั้งแต่กลไกราชการ ระบบยุติธรรม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เขาวางแผนเป็นระบบ เล็งผลสัมฤทธิ์ รู้ว่าปัจจัยที่ทำให้ชนะอยู่ตรงไหนทำตรงนั้นก่อน แต่พรรคอื่นทำตามยถากรรม ยิ่งเมื่อมาบริหารประเทศแล้วทำไม่ได้ บุญหล่นทับได้เป็นนายกฯ แล้วก็ทำอะไรไม่เป็น แถมทำลายมวชนที่เคยสนับสนุนอีก ขณะที่กลไกรัฐก็ไม่เป็นใจ" นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวว่าเรื่องนี้ ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มองออก แต่ก็ติดกับดักตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง หยิ่งผยอง ไม่มีนักการเมืองคนไหนจะเปิดศึกกับประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้งเหมือนนายอภิสิทธิ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีระบบอุปถัมภ์ที่ดูแลกันมาตลอด ถึงวันเลือกตั้งแล้วอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ ขณะที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจกลไกของมวลชน เมื่อพิจารณาจากผลงาน 2 ปีที่ไม่ทำอะไร ทั้งที่เสื้อแดงเผาเมืองถอยร่นไปแล้ว แต่ไม่จัดการจริงจัง มาเจอเรื่องเขาพระวิหาร เรื่องมรดกโลกก็ยืนตรงข้ามกับประชาชน ผลักไสคนไทยด้วยกันไปติดคุก แล้วเถียงประชาชนคอเป็นเอ็น ชาตินี้จึงไม่มีวันเอาชนะคู่แข่ง เพราะไม่รู้ตัวเอง สำคัญตัวเองผิด มองไม่เห็นคุณค่าประชาชนที่สนับสนุน
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ผลเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นว่าพรรคเพื่อไทยสามารถกินพื้นที่เข้ามาในภาคกลาง จากเดิมที่มีฐานเสียงในภาคเหนือ-อีสาน แต่ตนก็ไม่คิดว่าประชาชนชื่นชมยกย่องพรรคเพื่อไทย เป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นทำลายความนิยมของตัวเองมากกว่า ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะเหิมเกริมไม่ได้ ถ้ายังโกง และใช้อำนาจเพื่อพวกพ้องของตัวเองฟอกความผิด สังคมก็จะไม่ยอมรับ
โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ประชาชนต้องจับตาว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรตามอำเภอใจหรือไม่ เพราะผลเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าประชาชนให้อาญาสิทธิ์ไปทำอะไรก็ได้ ต่อให้ได้ทั้ง 500 เสียงก็ตาม เพราะการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นการเลือกตั้งสกปรก เอาชนะกันด้วยกลเกม ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะชี้ว่าสังคมส่วนใหญ่คล้อยตามและเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคนี้ และอยากให้ดูคะแนนโหวตโนที่จะเป็นตัวคาน รวมถึงคะแนนจากประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลที่จะขึ้นมาใหม
ส่วนนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการคาดคะเนผลการเลือกตั้งโดยเอ็กซิตโพลของสำนักต่างๆ ที่ระบุตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย ว่า ผลการเลือกตั้งที่คาดว่าจะออกมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงการที่พรรคประชาธิปัคย์ที่ไม่สามาถชนะใจประชาชนจำนวนมากได้ ตลอด 2 ปีครึ่งที่ได้โอกาสทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ทั้งที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่ทำให้ประชาชนเห็นถึงภยันตรายของกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กลับล้มเหลวที่จะจัดการกับขบวนการเหล่านี้
อีกทั้งยังมีในส่วนของประชาชนที่ไม่ยืนข้างไหน แต่พบว่า รัฐบาลนี้มีการทุจริตคอร์รัปชัน มีปัญหาด้านเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน เมื่อมองแล้วก็ไม่ต่างจากพรรคไทยรักไทยในอดีต โดยเมื่อมองถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หลายคนก็มองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เคยเป็นนักบริหารระดับสูงในวงการธุรกิจมาก่อน มีความหวังที่จะให้การเข้ามาทำงานในฐานะฝ่ายบริหารมากกว่า
" ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ยังมองข้ามการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่สามารถใช้กำลังข้างประชาชนในการทัดทานการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ในทางตรงข้ามกลับมีความพยายามกำจัดพันธมิตรฯ กลั่นแกล้งเอเอสทีวี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ประชาชนสั่งสมมาเป็นความลัมเหลวของพรรคประชาธิปัตย์"
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค สมควรรับผิดชอบ โดยการพิจารณาตัวเองลาออกจากตำแหน่งทั้งคู่ เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์โดยทันที เพราะถือว่าเป็นผู้บริหารที่ล้มเหลว ทั้งในส่วนของพรรค และในการนำพาประเทศไปสู่ความล้มเหลว จนทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพันธมิตรฯเองยังรอดูผลการลงคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโนว่าจะได้ถึง 26 เขต ในการยับยั้งระบอบทักษิณได้หรือไม่ ในเวลานี้ผลจะออกมาอย่างไรไม่สามารถทราบได้ เพราะที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์โหมใช้สื่อของรัฐ และเครือข่ายของตัวเองทุกองคาพยพในการต่อต้านการรณรงค์โหวตโน
"หากผลที่ออกมาไม่ได้ถึง 26 เขต แสดงว่า ประชาชนส่วนใหญ่เลือกแล้วจำนนต่อระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นสิทธิ โดยในส่วนภาคประชาชน เราถือว่าทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเราก็เคยย้ำแล้วว่าหากนำคะแนนโหวตโนไปรวมกับของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้ แต่หากกองเชียร์พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมโหวตโนกับพันธมิตรฯจะต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยได้มากกว่า เมื่อไม่พร้อมใจ ไม่เสียสละ ก็เป็นการตัดคะแนนกันเอง" นายปานเทพ ระบุ
เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะจริง มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายปานเทพ กล่าวว่า จากท่าทีหลังสุดของพรรคเพื่อไทย หลังจากที่มีแรงต้านของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และภาคประชาชน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจะไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่พี่ชายตัวเอง อย่างไรก็ดี ยังไม่สามารถไว้วางใจได้กับสิ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหากมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจริง ขอยืนยันว่า จะคัดค้าน และจะทำหน้าที่ของภาคประชาชนอย่างเข้มข้น
***โหวตโนรวมบัตรเสียกว่า 2 ล้านเสียง
เวปไซต์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รายงานผลคะแนนแบบส.ส.บัญชีรายชื่อเมื่อเวลา 20.15 น.ว่า การนับคะแนนไปแล้ว 81.50 % มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ 30,960,948 คน ไม่ประสงค์ลงคะแนน 800,751 บัตร และบัตรเสีย 1,381,938 บัตร ขณะที่ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้นรวม 44,002,593 คน ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 32,759,009 คน คิดเป็น 74.45 % โดยการใช้สิทธิแบบส.ส.บัญชีรายชื่อ บัตรเสีย คิดเป็น 5.57 % บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน คิดเป็น 2.85 %ส่วนแบบแบ่งเขต บัตรเสีย คิดเป็น 2.55 % บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน คิดเป็น 4.57 %