xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” เปิดเกมมวยรอง ดิ้นตั้งรัฐบาล-กอดคอ “เนวิน” อีกรอบ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้ว่าจะเป็นการพูดในเชิงหลักการของ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อ 2-3 วันก่อน ทำนองว่าแม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากสามารถรวบรวมเสียงกับอีกพรรคหนึ่งแล้วมีเสียงเกินครึ่งก็จัดตั้งรัฐบาลได้ พร้อมทั้งขยายความให้เข้าใจก็คือพรรคภูมิใจไทยภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูของ เนวิน ชิดชอบ โดยให้เหตุผลรองรับว่า ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ปฏิเสธร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยมาตั้งแต่ต้น

นอกจากนี้ หากพิจารณาจากหลักการดังกล่าวข้างต้นก็ต้องเพิ่ม “พรรคมาตุภูมิ” ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เข้าไปอีกพรรค เพราะถูกปฏิเสธจากพรรคเพื่อไทยออกมาอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่แรกเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผล ตัวผู้นำคือ พล.อ.สนธิเคยเป็นหัวหน้าก่อรัฐประหารโค่นล้มทักษิณ ชินวัตร ตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

ทำให้สูตรจัดตั้งรัฐบาลของอภิสิทธิ์มีพรรคตุนอยู่ในมือแน่นอนแล้ว 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และมาตุภูมิ ขึ้นอยู่กับว่าทั้งสามพรรคดังกล่าวจะสามารถมี ส.ส.รวมกันได้เสียงเกินครึ่งหรือไม่เท่านั้น

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นการประกาศท่าทีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงคนเดียว หลังจากก่อนหน้านี้เคยย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้ เนื่องจากมีแนวทางและอุดมการณ์ต่างกัน ซึ่งนาทีนี้ยังไม่เกี่ยวกับสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค เพราะยังไม่เคยพูดในประเด็นนี้อย่างชัดเจนมาก่อน ทำให้หลายคนประเมินว่าเป็นการเล่น “เกมสองหน้า” หลังจากมีกระแสข่าวออกมาควบคู่กันมาว่า หลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์อาจร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยอ้างความปรองดองและให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ทำนอง “เสียสละเพื่อชาติ” อะไรประมาณนั้น

ท่าทีของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ข้างต้นในเรื่องการจับมือกับพรรคเพื่อไทยนั้น อยู่ในช่วงที่ผลสำรวจ (โพล) จากทุกสำนักออกมาตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมเป็นไปตามโพลจริงๆ นั่นก็หมายความว่าพรรคเพื่อไทยก็เป็นพรรคอันดับหนึ่ง และตามที่อภิสิทธิ์ได้เคยระบุเอาไว้ว่าจะให้ได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ก็สงวนสิทธิ์เอาไว้ว่าหากตั้งรัฐบาลไม่ได้พรรคอันดับสองก็มีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลบ้าง

อ้างหลักการประชาธิปไตยแบบรัฐสภาตามแม่แบบประเทศตะวันตก!!

แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาพรรคเพื่อไทยจะต้องชนะแบบจำนวน ส.ส.ไม่ขาด นั่นคือชนะได้อันดับหนึ่งก็จริง แต่ ไม่เกินครึ่ง หรือชนะไม่เกิน 30-40 เสียง แต่ถ้า “ขาด” นั้นก็จบเห่ยกอำนาจให้ ทักษิณ ชินวัตร ไปเลย

แม้ว่าเป็นเรื่องของอนาคต เหตุการณ์ยังไม่เกิด มิหนำซ้ำยังอาจเป็นการดูถูกประชาชนเสียอีก เพราะในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยยังไม่ได้ใช้สิทธิ์เลือกใคร แต่นักการเมืองดันมาคิดจะแบ่งสรรอำนาจกันล่วงหน้าแล้ว มองอีกมุมหนึ่งถือว่าเป็นการ “ไร้มารยาท” สิ้นดี

แต่ถ้ามองในมุมของอภิสิทธิ์ ที่ผ่านการเป็นนายกรัฐมนตรีมานานกว่า 2 ปี 6 เดือน โดยธรรมชาติก็เหมือนคนทั่วไปที่ยัง “เสพติด” อำนาจต่อไป ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่ออยากกลับมาอีกรอบ แม้ว่าเวลานี้หากพิจารณาจากบรรยากาศและองค์ประกอบทุกด้านแล้วยังถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ และตัวเขายังเป็นรองฝ่ายตรงข้ามคือ พรรคเพื่อไทย และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

การออกมาพูดของอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่การแถลงอย่างเป็นทางการ เป็นการพูดในเชิงหลักการ แต่เชื่อเถอะว่านี่คือความจริง และผลจะต้องออกมาแบบนี้แน่นอน หากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นอันดับที่ 2

สำหรับพรรคภูมิใจไทย นาทีนี้หากยึดตามแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไยออกมาอย่างเป็นทางการก่อนหน้านี้ก็ต้องยอมรับว่าถูกกีดกันไม่ให้ไปร่วมกันตั้งรัฐบาลกันได้ เพราะถ้ากลับมาจูบปากก็ถือว่า “เน่า” มากกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมามีการแถลงให้เหตุผล ขยายให้เห็นความแค้นแบบชนิดไม่เผาผี มีการตอบโต้กันอย่างรุนแรง ซึ่งถ้าพิจารณากันจากอารมณ์ดังกล่าว มันก็ต้องคาดการณ์กันได้ล่วงหน้าแล้วว่า พรรคภูมิใจไทยก็ต้องมาจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน

ขณะที่ พรรคชาติไทยพัฒนา ของ บรรหาร ศิลปอาชา นั้นกลับลอยตัว สามารถสวิงไปทางขั้วไหนก็ได้ แม้ว่าจะลงนามเอ็มโอยูกับพรรคภูมิใจไทยเอาไว้ก่อนก็ตาม เพราะการเมืองวัดกันในเรื่องผลประโยชน์เท่านั้น หากฝั่งไหนให้มากกว่าก็ต้องเทไปทางนั้น เพียงแค่มีข้ออ้าง “คลาสสิก” คือเพื่อชาติและประชาชน และแถมไปอีกเรื่อง เพื่อความปรองดอง ทุกอย่างก็ผ่านได้เรียบร้อย และแนวโน้มที่พรรคชาติไทยฯจะไหลไปทางพรรคเพื่อไทยก็เป็นไปได้สูงยิ่งเสียด้วย

หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและองค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นต้องยอมรับว่านี่คืออาการดิ้นรนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อลุ้นกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ โดยฉกฉวยโอกาสในสถานการณ์ที่พรรคภูมิใจไทยไม่มีทางเลือกมากนัก ขณะเดียวกัน การเดินเกมผนึกกำลังกันสองพรรคดังกล่าว หากมองอีกด้านหนึ่งมันก็หมายความว่านี่คือการยอมรับแบบกลายๆของอภิสิทธิ์แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับสอง แต่ก็ยังหวังจะเป็นรัฐบาล

ดังนั้น จากการตรวจสอบผลสำรวจ (โพล) ทุกสำนักที่ออกมาในแนวทางเดียวกันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้เลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทย ทำให้มองกันว่าการดิ้นรนของพรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในครั้งนี้ทำเพื่อต้องการลุ้นให้แพ้น้อยที่สุด อย่างน้อยก็มีความหวังเมื่อรวมกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงอีกไม่นานก็จะได้เห็นภาพเดิมๆย้อนกลับมาให้เห็นอีกรอบแน่นอนโดยเฉพาะภาพที่ อภิสิทธิ์ กอดคอกับ เนวิน ชิดชอบ!!
สุเทพ เทือกสุบรรณ
เนวิน ชิดชอบ
กำลังโหลดความคิดเห็น