เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
00 ไม่ได้แปลกอันใดกับคำพูดจาของรมว.ต่างประเทศเขมร ฮอร์ นัม ฮง ทันทีที่เดินทางกลับจากปารีสถึงกรุงพนมเปญ หลังจากไปให้ปากคำศาลโลกเกี่ยวกับการยื่นคำร้องให้ตีความคำสั่งศาลเมื่อปี 2505 ว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นอธิปไตยเขมรด้วยหรือไม่ รวมทั้งให้คุ้มครองฉุกเฉินให้ไทยถอนทหารออกไปทันที ซึ่งคำพูดที่ออกมาก็คือ งานนี้เขมรไม่เจ๊ง มีแต่ “เจ๊า” กับ “ชนะ” เท่านั้น ขณะที่ฝ่ายไทยนี่สิมีแต่ “เจ๊ากับเจ๊ง” และแนวโน้มดูแล้วออกไปอย่างหลังมากกว่า เพราะศาลโลกได้พิจารณาจากแผนที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 โดยอ้างว่าเป็นสากล
00 นี่แหละถึงได้บอกว่า ทำไมถึงมีเสียงเรียกร้องไม่ให้ยอมรับขอบข่ายอำนาจของศาลโลกในกรณีนี้ตั้งแต่ต้น รวมไปถึงยืนยันพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร นั้นเป็นของไทยโดยสมบูรณ์ ทำไมต้องไปเล่นตามเกมของ “ฮุนเซน” ที่ขุดล่อเอาไว้ ทำไม รู้ทั้งรู้ว่านี่คือแผนชั่วที่วางเอาไว้ล่วงหน้า ทำกันแบบเป็นขั้นเป็นตอน แต่รัฐบาลไทยตั้งแต่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมไปถึง รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ก็ได้แต่ยืนยันว่า “สู้ได้” อ้าวแล้วถ้าผลออกมาว่า “สู้ไม่ได้” ล่ะ ทั้งที่มันไม่ใช่ไฟต์บังคับที่เราต้องเล่นเกมตามเขา ได้แต่ตั้งรับ ทำไมต้องไปเสี่ยงในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้
00 เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากได้ยินข้ออ้างของ อภิสิทธิ์ ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า หลังจากศาลตัดสินให้พื้นที่โดยรอบปราสาทเป็นของเขมรว่า นั่นเป็น “คำสั่งศาลโลก” เราต้องทำตาม ทั้งที่ในใจเพียงเพื่อ “กลบเกลื่อน” ความล้มเหลวของ “เอ็มโอยู 43” ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำเอาไว้ และที่สำคัญเมื่อถึงเวลานั้นคนชื่อ อภิสิทธิ์ ก็ได้พ้นจากเก้าอี้นายกฯ และ “สะบัดก้น” หนีไปแล้ว
00 ขณะที่การเมืองก็เริ่มมีความชัดเจน การ “แบ่งขั้ว” ก็บีบให้แคบลง หลังการประกาศอย่างเป็นทางการ มีการลงนามเป็นเรื่องเป็นราวของพรรค “เพื่อแม้ว” ว่าหากเป็นรัฐบาลจะไม่สังฆกรรมกับ “เนวิน ชิดชอบ” และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีพรรคมาตุภูมิ ของ “บังสนธิ” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไปแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ส่วนหนึ่งมันก็ทำให้คนไทยได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นบ้าง ส่วนเบื้องหลังจะเป็นอย่างไร ค่อยมาว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
00 การประกาศท่าทีดังกล่าวของ พรรคเพื่อไทย ซึ่งก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ มองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนเล่นเกมเสี่ยงวัดใจพี่น้องชาวอีสานให้ต้องตัดสินใจ ไม่ให้ “แทงกั๊ก” ไม่ต้องแบ่งเป็นเลือกบัญชีรายชื่อพรรคหนึ่ง แต่อีกใบหนึ่งให้เลือก ส.ส.แบบเขต ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะฉุดคะแนนของเพื่อไทยลงทันที ขณะเดียวกัน อีกด้านมันก็อาจจะมั่นใจแล้วว่า “พลังยี้ห้อย” ในอีสานนั้นไม่แรงดังคาด จึงชิงลงมือสะบั้น อีกทางหนึ่งเป็นการ “ขยิบตา” ส่งสัญญาณไปถึง “เฒ่าเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยฯ ให้ฝันหวานเอาไว้ก่อน และวิธีการแบบนี้ยังทำให้ทั้งสองพรรคที่เคยทำสัญญาต่อกันก่อนหน้านี้เกิดความ “ระแวง” ทางใครทางมันในที่สุด เพราะใน “สันดาน” ของ “นักธุรกิจ” การเมืองพวกนี้ การตัดสินใจอยู่ที่ “ผลประโยชน์” ที่จะได้รับว่าจะได้จาก “ฝ่ายไหน” มากกว่ากัน ไม่มีเรื่องหลักการ หรืออุดมการณ์ใดๆทิ้งสิ้น พูดไปก็เหม็นขี้ฟันเปล่าๆ
00 ที่บอกว่าขั้วการเมืองชัดเจนและแคบเข้ามาอีก เพราะต้องบีบให้ “เนวินกรุ๊ป” จับขั้วผนึกกำลังกับ ปชป.ไปโดยปริยาย ซึ่งจะว่าไปแล้ว ผลที่ออกมาแบบนี้ทำให้ฝ่าย อภิสิทธิ์ -สุเทพ “ยิ้มออก” มาเสียด้วยซ้ำ เพราะต่อไปไม่ต้องมาพะวงว่าจะเปลี่ยนกลับไปกลับมา เพราะถึงขั้นออกแถลงการณ์ลงนามกันชัดเจนแล้วถ้า “กลืนน้ำลาย” กันอีก มันก็ไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรแล้ว ดังนั้นถ้าให้สรุปเวลานี้มีการแบ่งขั้วแบบไม่เป็นทางการก็คือ ขั้ว ปชป.มีภูมิใจไทย ผนึกกำลังกันสองพรรคหลัก ขณะที่ ขั้วเพื่อไทย มีชาติไทยฯเป็นพันธมิตรแบบไม่เป็นทางการ แต่จะว่ากันไปแล้ว ถือว่าทั้ง ชาติไทยฯ และชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ โดยเฉพาะพรรคหลังเป็น “ตัวแปรของตัวแปร” จริงๆ สวิงไปทางไหนก็กินรอบวง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในสนามเลือกตั้งจะได้มาเท่าไรด้วยนะ นอกจากนี้อยากเตือนเอาไว้หน่อยว่า จะพูดจะจาอะไรให้เกรงใจชาวบ้านเขาบ้าง เดี๋ยวเขาจะหมั่นไส้เอา เพราะไม่ทันไรก็ “แบ่งเค้ก” กันแล้ว !!