“ชวน” เผย “อภิสิทธิ์” ไม่เคยพูดได้เสียงน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ชี้แต่ถ้าพูดก็ต้องทำตามที่ลั่นวาจาไว้ แฉคนหมู่บ้านเสื้อแดงโดนข่มขู่หนักจนไม่กล้าแสดงออก มีการสอนให้ด่าสถาบันเบื้องสูง
วันนี้ (23 มิ.ย.) เมื่อเวลา 19.10 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นปราศรัยเวทีราชประสงค์ว่า ในยุคที่ลงเลือกตั้งแข่งขันทางการเมืองกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ขณะนั้น เคยกล่าวว่าถ้าได้เสียงน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายค้าน เพราะระหว่างการเป็นนายกฯ กับการรักษาคำพูด ขอรักษาคำพูดดีกว่า จึงตัดสินใจไม่ตั้งรัฐบาลแข่ง แม้ว่าจะแข่งได้
“แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่าถ้าเสียงน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายค้าน เพราะถ้าพูดก็ต้องทำตามที่พูดเหมือนกัน” นายชวนกล่าว
นายชวนกล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้ไปบ้านหมู่บ้านคนเสื้อแดง และได้พูดคุยกับชาวบ้านจึงได้ทราบว่า ชาวบ้านนั้นมีความกลัวถึงขนาดบอกกับตนว่าจะสนับสนุนอยู่ในใจ แต่อย่าให้รับสิ่งของอะไรเลยเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้เพราะว่าคนกลุ่มนี้มีการข่มขู่คนที่ไม่เห็นด้วย มีการปลุกระดมและสอนในสิ่งที่อาจไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าพูด
โดยมีการสอนให้ด่าผู้ใหญ่ด่าสถาบัน รวมถึงมีการด่าถึงตนด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตัวอย่างครั้งหนึ่งคือสมัย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.ที่เคยบันทึกเสียงคนด่าตนกลางเวทีสนามหลวง ทำให้ตนต้องไปแจ้งความบุคคล 2 รายคือ 1.นายชินวัฒน์ หาบุญพาด และ 2.นายสุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งเมื่อแจ้งความแล้วเขาก็ยอมรับว่าสิ่งที่พูดไม่จริง จนศาลตัดสินให้ทั้งสองจำคุกและรอลงอาญา 2 ปี
นายชวนกล่าวว่า สงสารพี่น้องที่เชียงใหม่ ที่การท่องเที่ยวทรุด คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย กลุ่มคนเสื้อแดงเหล่านี้มีวิวัฒนาการตั้งแต่ปี 48 ทั้งนี้เพราะเขาไปสนับสนุนให้วิทยุชุมชนเชียงใหม่แล้วปลุกระดมว่าอย่าให้คนพวกนี้มาหาเสียงที่บ้าน กลับกันตนได้ห้ามปรามไม่ให้ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ต่อต้านพรรคการเมือง อื่นที่เข้าไปหาเสียงในพื้นที่บ้าง มิเช่นนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งและวุ่นวายไม่รู้จบ นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงของสังคมไทยคือการปล่อยให้เกิดวงจรอุบาทว์ ธุรกิจการเมืองที่มีการซื้อเสียงแล้วมาถอนทุนเมื่อได้บริหารประเทศ
นอกจากนี้ นายชวนยังได้ปราศรัยถึงการปรองดองว่า ต้องยึดหลักกฎหมาย ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก รวมถึงระบุถึงสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีการแทรกแซงสื่อและองค์กรอิสระ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งมีคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่มีการพยายามแทรกแซง ตุลาการโดยใช้วิธีการข่มขู่ โดยระบุว่าหากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเปิดเผยความลับของตุลาการท่านนั้น แต่สุดท้ายก็ถูกตุลาการท่านนั้นปฏิเสธเพราะไม่มีความลับใดที่กลัวจะถูกเปิดเผย