สร้างเสียงฮือฮาทันทีที่ปรากฏ “รายงานข่าว” ผลการสำรวจคะแนนนิยมจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล หรือที่รู้จักกันในนาม “โพลสันติบาล” ที่ฟันธงฉับว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะเหนือพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลาย
โดย “โพลสันติบาล” ระบุว่า พรรคเพื่อไทยสามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.ได้มากที่สุด 164 คน ทิ้งห่างคู่แข่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ 83 คนอยู่หนึ่งช่วงตัว ส่วนพรรคอื่นๆ ได้ลดหลั่นกันไป พรรคภูมิใจไทย 42 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 24 คน พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 12 คน พรรคพลังชล 5 คน และพรรคมาตุภูมิได้ 1 คน
แม้ว่าผลการสำรวจครั้งนี้จะสำรวจเฉพาะในส่วนของคะแนนนิยมในระบบเขต 331 จาก 375 เขตทั่วประเทศ ยกเว้นพื้นที่ กทม. และใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็สามารถนำมาใช้แนวทางในการประเมินจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคได้อย่างเห็นภาพชัดเจน รวมทั้งในส่วนของคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ด้วย
แสดงว่าพรรคเพื่อไทยจะกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้เกือบหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
น่าสนใจว่า ตัวเลขเหล่านี้อ้างว่าเป็นรายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งทำหน้าที่ด้านการข่าวในศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีความเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน เพราะฝ่ายตำรวจเองก็ปฏิเสธเป็นพัลวันว่า ไม่เคยมีการจัดทำโพลล์ดังกล่าวขึ้น
สร้างความคลุมเครือถึงที่มาที่ไปของโพลชุดนี้อย่างมาก
อีกทั้งแม้ผลโพลสันติบาลชุดนี้จะมีทิศทางเดียวกับโพลของสำนักอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งระบุตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ แต่อย่าลืมว่าของทื่อื่นผลไม่ได้ทิ้งขาดกันขนาดนี้
หรือแม้แต่ “โพลลับ” ของทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เองก็ชนะกันไม่เกิน 15-20 ที่นั่ง ไม่ได้มากมายทิ้งห่างกันถึง 1 เท่าตัวเช่นนี้ ขณะที่อีกหลายๆ โพลยังระบุด้วยซ้ำว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคะแนนิยมเหนือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกด้วย อาทิ “โคราชโพลล์” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา หรือ “นิด้าโพล” ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ทิ้งห่างกันไม่กี่เปอร์เซนต์เท่านั้น
เป็นไปได้ยากที่จะเกิดปรากฏการณ์ “แลนด์สไลด์” อีกครั้ง
จึงมีข้อน่าสังเกตว่า เหตุที่ “โพลสันติบาล” ที่ตั้งใจหลุดออกมานั้น “นั่งเทียน” ขึ้นมาหรือเป็น “ตัวเลขหลอก” และที่สำคัญงานนนี้มี “วาระซ่อนเร้น” อย่างไรหรือไม่
เพราะอย่างน้อยคะแนนนิยมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้ ส่งผลลบต่อรัฐบาลปัจจุบัน ฝ่ายตำรวจไม่น่าที่จะปล่อยหลุดออกมาได้ เพราะควรที่จะ “ไว้หน้า” พรรคประชาธิปัตย์ที่ยังกุมอำนาจรัฐอยู่บ้าง
ยิ่งข่าวมาปรากฏในช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ก่อนถึงช่วงโค้งสุดท้าย มองได้ว่ามีเบื้องหน้าเบี้องหลังที่เชื่อได้ว่าหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้น “ลูกไม้เก่า” ของพรรคเก่าแก่ที่พยายามจุดกระแส “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ขึ้นมาอีกหน
วาดภาพการกลับมาของ “ปีศาจทักษิณ” ให้สังคมต้องหวาดกลัว
โดยการชี้นำว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่พรรคเพื่อไทยคงได้รับชัยชนะอย่างไม่ยากเย็น ส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศ เปิดช่องให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ “ระบอบทักษิณ” กลับมาผงาดอีกครั้ง
หวังว่าจะกระตุ้นให้ “พลังเงียบ” ที่หลายสำนักโพลล์ระบุตรงกันว่ามีไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซนต์ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร รวมไปถึงคะแนน “โหวตโน” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศตัวเป็น “ปฏิปักษ์” กับระบอบทักษิณอย่างไม่เผาผีกันด้วย โดยให้คนสองกลุ่มนี้หันกลับมาลงคะแนนให้แก่พรรคประชาธิปัตย์
น่าเชื่อว่า มีการวางแผนอย่างเป็นขบวนการ จับทิศทางได้จากถ้อยแถลงของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมา “สอดรับ” กับผลโพลสันติบาลอย่างพอดิบพอดีที่ว่า หากพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน แล้วยกบ้านเมืองให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาบริหาร
ตอกย้ำภาพให้ชัดเจนขึ้นไปอีก
หลังจากที่ให้ นายแก้วสรร อติโพธิ และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ในนาม เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชั่นทักษิณ (คนท.) ออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วกลายเป็น “กระสุนด้าน” จุดกระแสไม่ติด กลับเป็นคะแนนสงสารที่ตีกลับไปให้ทางพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ
เป็นเหตุให้ “สุเทพ” ต้องโดดลงมาเล่นเกมนี้เอง เพราะรู้ตัวดีว่าหากอยู่เฉยปล่อยกระแสไหลไปเข้าทางพรรคเพื่อไทย ก็ต้องกลับไปนั่งทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทั้งยังจะโดยไล่ต้อน “เช็คบิล” ย้อนหลังอีกเพียบ
การโยน “โพลหลอก” ออกมา ก็ถือเป็น “วิชามาร” ที่มีรูปแบบที่แตกต่างไปตามสถานการณ์ และเป็นอาการดิ้นของพรรคประชาธิปัตย์อีกเฮือก
เพื่อหวังเรียกเรตติ้งโกยคะแนนบี้คู่แข่งให้ได้