โดย เสนาคาม
แม้จะวิ่งวุ่นอยู่กับการหาเสียง ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปภาคอีสาน ภาคตะวันออก-ตะวันตก จนแทบจะไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจหายคอ แต่ว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ยังเจียดเวลามานั่งเขียนบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ”ร่ายยาวถึงเหตุผลความจำเป็นในการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 27
เพื่อบอกใครต่อใครว่า การก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของตัวเองนั้น ไม่ได้เกิดจากตัณหาความอยากส่วนตัวลำพัง หรือแหกกฎกติกา แหวกม่านประเพณี ไปจัดตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นตำหนิ เป็นรอยด่างให้กับชีวิตการเมืองของตัวเอง ที่อวดอ้างความเป็นนักประชาธิปไตย ที่ยึดมั่นในหลักการมาตลอด...
บทเปิดใจของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา หลายคนคงได้ผ่านหูผ่านตากันไปบ้างแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก็คงได้ยินได้ฟังผ่านทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งแน่ๆ
ด้านหนึ่ง ต้องบอกว่าน่าเห็นใจ เพราะ “แผลเป็น” ที่ยังอยู่ในช่วงตกสะเก็ด ถูกสื่อนำมาตอกย้ำเขียนถึงอีกครั้งในสถานการณ์ที่กำลังแข่งขันกันของพรรคการเมืองในช่วงของการเลือกตั้ง และพรรคประชาธิปัตย์เอง แม้จะอยู่ในฐานะแชมป์ แต่ดูเหมือนกระแสที่ออกมาจะตกเป็นรองคู่แข่งอยู่หลายขุม
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของบันทึกที่ว่า และคงจะทยอยลำเลียงออกมาอีกหลายตอน เพราะที่เปิดออกมานั้น เป็นเพียงแค่ตอนที่ 1 เท่านั้น
จากบทบันทึกดังกล่าว แม้ “อภิสิทธิ์” จะบอกไว้ในพารากราฟแรกถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องเขียนว่า เพราะมีสื่อมวลชนบางส่วนเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงก็ตาม แต่จากที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงเบื้องหลังที่มาของรัฐบาล “ชุดสลายขั้ว” มาบ้าง ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้แตกต่างจากที่สื่อได้เขียนถึง ดังนั้น หากจะสรุปเสียทีเดียวว่า ข้อมูลที่สื่อนำเสนอนั้น “คลาดเคลื่อน” ก็คงไม่ใช่!
และที่ถูกน่าจะใช้คำว่า “อภิสิทธิ์สารภาพบาป” แทนคำว่า “อภิสิทธิ์เปิดใจ” ด้วยซ้ำ กับบันทึกตอนแรกที่ได้เขียนไป เพราะมีอย่างน้อย 3-4 ประเด็น ที่น่าจะนำมาซักค้าน เพื่ออย่างน้อยที่สุด จะได้ไม่ให้นักการเมืองมาเขียนนิยาย ใช้วาทะกรรม สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองยังดูดีในสายตาของผู้คน
อย่างแรกเลย การที่ออกมายอมรับว่า เคยพบกับ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” ก่อนหน้าที่จะมีการตัดสิน “ยุบพรรคพลังประชาชน” ทำให้มองเห็นถึงความพยายามในการ “สลายขั้ว” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษนั้นมีอยู่จริง และ “อภิสิทธิ์” ก็เข้าไปเป็นส่วนผสมหนึ่งในนั้น แม้จะรู้เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
และ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” คนเดียวกันนี้แหละที่เป็นตัวละครเอกในเรื่องของคลิปฉาว 2-3 ตอน ในช่วงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งอย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เห็นได้ว่า “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” นั้น ข้องแวะกับพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนหน้านั้นแล้ว
เช่นเดียวกับคำอธิบายเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ที่บอกว่า “ไม่ได้ไปแย่งไปปล้นอำนาจใครมา..ทุกอย่างเป็นกระบวนการตามระบบ..เสียงในสภายอมรับ และการลงคะแนนก็เปิดเผย” นั้น หากมองเพียงแค่นี้ก็คงไม่ต้องไปโต้แย้ง หรือคำว่าไปจัดตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร ก็คงไม่มีใครพูดถึงหรอก!
แต่เพราะเรื่องนี้มันมีเบื้องหลังการถ่ายทำต่างหาก... ก่อนจะมีการลงคะแนนกันในสภานั้น ใครต่อใครไปทำอะไรกันมาบ้าง ก็เป็นเรื่องที่รู้แก่ใจกันดี ดังนั้น กระบวนการของสภาที่อ้างถึง จึงเป็นเพียงแค่พิธีกรรมเท่านั้นเอง
หรืออย่างคำแก้ตัวเรื่องยกเก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ ให้กับกลุ่มเนวิน โดยอธิบายว่า “ในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุดคือ ใครเคยดูแลกระทรวงไหน ก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด” ตรงนี้ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะอย่างน้อยที่สุดหากเป็นจริงดังว่า คงไม่มีคำว่า “สามล้อถูกหวย” หลุดออกจากปากของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในวันก่อน ที่พูดถึงความผิดเพี้ยนของการจัดตั้งรัฐบาล “ชุดสลายขั้ว”
และเรื่องนี้หากคนในพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับความจริง! ก็คงยังจำกันได้ถึงบรรยากาศในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เวลานั้น ที่มีเสียงตำหนิมากมาย บริภาษผู้ใหญ่ที่ไปยอมกลุ่มเนวินมากจนเกินไป...แต่สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยคำพูดของผู้ใหญ่ที่ใหญ่จริงๆ ในพรรคที่ว่า
“อย่าว่าแต่เก้าอี้ว่าการคมนาคม-ว่าการมหาดไทย หรือว่าการพาณิชย์เลย ต่อให้เหลือเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพียงเก้าอี้เดียว เราก็ต้องยอมเขา” หรือคำว่า..เรามีวันนี้ได้ก็เพราะเขา หากไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้...
คำพูดเหล่านี้คนในพรรคประชาธิปัตย์ คงประจักษ์เป็นอย่างดี ดังนั้น สิ่งที่ “อภิสิทธิ์” อธิบายไว้ในบันทึก จึงเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตจริงทางการเมืองของคนพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนอภิสิทธิ์จะพูดว่า “ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าคุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมือง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้” ซึ่งเป็นคำอธิบายให้ประชาชนที่รู้สึกแสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดกับตนเองได้เข้าใจนั้น ก็ถือเป็นสิทธิ์ของคุณอภิสิทธิ์ ที่จะรู้สึกอย่างนั้น เช่นเดียวกับคนอื่นๆ หากจะรู้สึกต่างไปจากคุณอภิสิทธิ์ ก็ถือเป็นสิทธิ์เช่นกัน
สุดท้ายในพารากราฟสุดท้ายที่ว่า “ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียว คือ ผมเป็นนายกฯ ในระบบสภาคนแรกหลังปี2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้” ก็ไม่ผิดอีกนั่นแหล่ะ!!!
แต่อย่าลืมว่าตลอด 2 ปีเศษที่ผ่านมานั้น สังคมยังสงสัยไม่หายเรื่องภาวะผู้นำของ “อภิสิทธิ์” บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยว่า “เป็นตัวจริง-เสียงจริง” จริงๆ หรือเปล่า... เพราะ“ทักษิณ”คนเดียวนั้น สั่งไม่ได้แน่ๆ แต่คนรอบข้างที่อุ้มสม”อภิสิทธิ์”ให้ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้น มีอยู่มากมายทั้งในพรรคนอกพรรค
แน่ใจหรือว่าคนนับสิบๆ คนนั้น สั่งอภิสิทธิ์ไม่ได้ หรือไม่ได้สั่งครับ!!!
บันทึกตอนที่ 1 ของอภิสิทธิ์ ที่มีถึงคนไทยทุกคน จึงไม่ต่างกับการสารภาพบาป เพื่อฟอกตัวให้กับนักการเมืองที่มีตำหนิ ยังดูดีมีความเป็นนักประชาธิปไตยอยู่ในตัวก็เท่านั้นเอง.
แม้จะวิ่งวุ่นอยู่กับการหาเสียง ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปภาคอีสาน ภาคตะวันออก-ตะวันตก จนแทบจะไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจหายคอ แต่ว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ยังเจียดเวลามานั่งเขียนบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ”ร่ายยาวถึงเหตุผลความจำเป็นในการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 27
เพื่อบอกใครต่อใครว่า การก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของตัวเองนั้น ไม่ได้เกิดจากตัณหาความอยากส่วนตัวลำพัง หรือแหกกฎกติกา แหวกม่านประเพณี ไปจัดตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นตำหนิ เป็นรอยด่างให้กับชีวิตการเมืองของตัวเอง ที่อวดอ้างความเป็นนักประชาธิปไตย ที่ยึดมั่นในหลักการมาตลอด...
บทเปิดใจของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา หลายคนคงได้ผ่านหูผ่านตากันไปบ้างแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก็คงได้ยินได้ฟังผ่านทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งแน่ๆ
ด้านหนึ่ง ต้องบอกว่าน่าเห็นใจ เพราะ “แผลเป็น” ที่ยังอยู่ในช่วงตกสะเก็ด ถูกสื่อนำมาตอกย้ำเขียนถึงอีกครั้งในสถานการณ์ที่กำลังแข่งขันกันของพรรคการเมืองในช่วงของการเลือกตั้ง และพรรคประชาธิปัตย์เอง แม้จะอยู่ในฐานะแชมป์ แต่ดูเหมือนกระแสที่ออกมาจะตกเป็นรองคู่แข่งอยู่หลายขุม
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของบันทึกที่ว่า และคงจะทยอยลำเลียงออกมาอีกหลายตอน เพราะที่เปิดออกมานั้น เป็นเพียงแค่ตอนที่ 1 เท่านั้น
จากบทบันทึกดังกล่าว แม้ “อภิสิทธิ์” จะบอกไว้ในพารากราฟแรกถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องเขียนว่า เพราะมีสื่อมวลชนบางส่วนเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงก็ตาม แต่จากที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงเบื้องหลังที่มาของรัฐบาล “ชุดสลายขั้ว” มาบ้าง ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้แตกต่างจากที่สื่อได้เขียนถึง ดังนั้น หากจะสรุปเสียทีเดียวว่า ข้อมูลที่สื่อนำเสนอนั้น “คลาดเคลื่อน” ก็คงไม่ใช่!
และที่ถูกน่าจะใช้คำว่า “อภิสิทธิ์สารภาพบาป” แทนคำว่า “อภิสิทธิ์เปิดใจ” ด้วยซ้ำ กับบันทึกตอนแรกที่ได้เขียนไป เพราะมีอย่างน้อย 3-4 ประเด็น ที่น่าจะนำมาซักค้าน เพื่ออย่างน้อยที่สุด จะได้ไม่ให้นักการเมืองมาเขียนนิยาย ใช้วาทะกรรม สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองยังดูดีในสายตาของผู้คน
อย่างแรกเลย การที่ออกมายอมรับว่า เคยพบกับ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” ก่อนหน้าที่จะมีการตัดสิน “ยุบพรรคพลังประชาชน” ทำให้มองเห็นถึงความพยายามในการ “สลายขั้ว” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษนั้นมีอยู่จริง และ “อภิสิทธิ์” ก็เข้าไปเป็นส่วนผสมหนึ่งในนั้น แม้จะรู้เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
และ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” คนเดียวกันนี้แหละที่เป็นตัวละครเอกในเรื่องของคลิปฉาว 2-3 ตอน ในช่วงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งอย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เห็นได้ว่า “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” นั้น ข้องแวะกับพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนหน้านั้นแล้ว
เช่นเดียวกับคำอธิบายเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ที่บอกว่า “ไม่ได้ไปแย่งไปปล้นอำนาจใครมา..ทุกอย่างเป็นกระบวนการตามระบบ..เสียงในสภายอมรับ และการลงคะแนนก็เปิดเผย” นั้น หากมองเพียงแค่นี้ก็คงไม่ต้องไปโต้แย้ง หรือคำว่าไปจัดตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร ก็คงไม่มีใครพูดถึงหรอก!
แต่เพราะเรื่องนี้มันมีเบื้องหลังการถ่ายทำต่างหาก... ก่อนจะมีการลงคะแนนกันในสภานั้น ใครต่อใครไปทำอะไรกันมาบ้าง ก็เป็นเรื่องที่รู้แก่ใจกันดี ดังนั้น กระบวนการของสภาที่อ้างถึง จึงเป็นเพียงแค่พิธีกรรมเท่านั้นเอง
หรืออย่างคำแก้ตัวเรื่องยกเก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ ให้กับกลุ่มเนวิน โดยอธิบายว่า “ในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุดคือ ใครเคยดูแลกระทรวงไหน ก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด” ตรงนี้ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะอย่างน้อยที่สุดหากเป็นจริงดังว่า คงไม่มีคำว่า “สามล้อถูกหวย” หลุดออกจากปากของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในวันก่อน ที่พูดถึงความผิดเพี้ยนของการจัดตั้งรัฐบาล “ชุดสลายขั้ว”
และเรื่องนี้หากคนในพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับความจริง! ก็คงยังจำกันได้ถึงบรรยากาศในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เวลานั้น ที่มีเสียงตำหนิมากมาย บริภาษผู้ใหญ่ที่ไปยอมกลุ่มเนวินมากจนเกินไป...แต่สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยคำพูดของผู้ใหญ่ที่ใหญ่จริงๆ ในพรรคที่ว่า
“อย่าว่าแต่เก้าอี้ว่าการคมนาคม-ว่าการมหาดไทย หรือว่าการพาณิชย์เลย ต่อให้เหลือเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพียงเก้าอี้เดียว เราก็ต้องยอมเขา” หรือคำว่า..เรามีวันนี้ได้ก็เพราะเขา หากไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้...
คำพูดเหล่านี้คนในพรรคประชาธิปัตย์ คงประจักษ์เป็นอย่างดี ดังนั้น สิ่งที่ “อภิสิทธิ์” อธิบายไว้ในบันทึก จึงเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตจริงทางการเมืองของคนพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนอภิสิทธิ์จะพูดว่า “ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าคุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมือง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้” ซึ่งเป็นคำอธิบายให้ประชาชนที่รู้สึกแสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดกับตนเองได้เข้าใจนั้น ก็ถือเป็นสิทธิ์ของคุณอภิสิทธิ์ ที่จะรู้สึกอย่างนั้น เช่นเดียวกับคนอื่นๆ หากจะรู้สึกต่างไปจากคุณอภิสิทธิ์ ก็ถือเป็นสิทธิ์เช่นกัน
สุดท้ายในพารากราฟสุดท้ายที่ว่า “ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียว คือ ผมเป็นนายกฯ ในระบบสภาคนแรกหลังปี2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้” ก็ไม่ผิดอีกนั่นแหล่ะ!!!
แต่อย่าลืมว่าตลอด 2 ปีเศษที่ผ่านมานั้น สังคมยังสงสัยไม่หายเรื่องภาวะผู้นำของ “อภิสิทธิ์” บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยว่า “เป็นตัวจริง-เสียงจริง” จริงๆ หรือเปล่า... เพราะ“ทักษิณ”คนเดียวนั้น สั่งไม่ได้แน่ๆ แต่คนรอบข้างที่อุ้มสม”อภิสิทธิ์”ให้ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้น มีอยู่มากมายทั้งในพรรคนอกพรรค
แน่ใจหรือว่าคนนับสิบๆ คนนั้น สั่งอภิสิทธิ์ไม่ได้ หรือไม่ได้สั่งครับ!!!
บันทึกตอนที่ 1 ของอภิสิทธิ์ ที่มีถึงคนไทยทุกคน จึงไม่ต่างกับการสารภาพบาป เพื่อฟอกตัวให้กับนักการเมืองที่มีตำหนิ ยังดูดีมีความเป็นนักประชาธิปไตยอยู่ในตัวก็เท่านั้นเอง.