โฆษกพันธมิตรฯ ชี้ผู้แทนไทยแจงศาลโลกคล้ายคำ พธม. จี้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ไม่รับคำวินิจฉัยเพิ่ม ชี้ถ้าไม่ทำ จนศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หรือตีความเพิ่ม ไทยเสียเปรียบแน่ ยันเอ็มโอยูต้นตอปัญหา ด้าน “จำลอง” เซ็งข่าวเลือกตั้งกลบสูญอธิปไตย ชี้เขมรคิดแผนเป็นขั้นแต่สยามกลับเดินตามไม่ป้องกัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (31 พ.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการไต่สวนของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ต่อกรณีที่กัมพูชายื่นคำร้องให้ศาลตีความคำตัดสินปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 และออกมาตรการชั่วคราวว่า จะเห็นได้ว่าการชี้แจงของผู้แทนฝ่ายไทยนั้นใกล้เคียงกับสิ่งที่ภาคประชาชนได้นำเสนอมาโดยตลอด ทั้งการต่อสู้ในเรื่องขอบเขตของศาลโลก และการยืนยันว่าฝ่ายไทยทำตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ภาคประชาชนพยายามพูดมาตลอดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามยังมีอีก 1 ประเด็นที่ฝ่ายไทยยังไม่นำไปในการต่อสู้ครั้งนี้ คือ การยืนยันว่าไทยไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก ไม่ว่าจะตัดสินออกมาในแนวทางใด ซึ่งต้องติดตามว่าในการชี้แจงรอบที่ 2 จะมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาใช้หรือไม่
นายปานเทพกล่าวอีกว่า หากฝ่ายไม่ปฏิเสธกระบวนการของศาลโลก และศาลโลกไม่ฟังในคำชี้แจงของไทย และเดินหน้าออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หรือตีความเพิ่มเติมจากคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 จะทำให้ฝ่ายไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอีกครั้ง ดังนั้น คณะทนายความฝ่ายไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก และไม่รับคำวินิจฉัยเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งยังมีโอกาสในการชี้แจงรอบ 2 ขอให้ทุกคนร่วมติดตาม แต่โดยภาพรวมแล้วก็เป็นแนวทางตามที่ภาคประชาชนได้เสนอไปก่อนหน้านี้
“หากไทยประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ศาลก็ไม่สามารถตัดสินหรือวินิจฉัยใดๆได้ ในอดีตมีหลายกรณีที่คู่กรณีไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลโลก เพราะแต่ละประเทศถือว่ามีเอกราชเป็นของตัวเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของศาลโลก” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า มูลเหตุที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องไปขึ้นศาลโลกในวันนี้ก็มาจากการที่ไทยมัวแต่ยึดเอ็มโอยู 2543 โดยปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาละเมิดในทางปฏิบัติ กัมพูชาจึงอาศัยความอ่อนแอของรัฐบาลและกองทัพไทย สร้างถนน ฐานทัพ จนเป็นที่มั่นสำหรับการยิงปะทะกับฝ่ายไทย เป็นเหตุทำให้กัมพูชานำสถานการณ์การปะทะนี้ไปเป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลโลกออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทั้งที่ก่อนมีเอ็มโอยู 2543 ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงสรุปได้ว่าเอ็มโอยูฉบับนี้คือ ต้นตอของปัญหา
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเสริมว่า ในขณะที่เป็นช่วงเวลาสำคัญต่อการสูญเสียดินแดนของประเทศ ทั้งในเวทีศาลโลก ต่อเนื่องไปถึงการประชุมคณะกรรมการ แต่กลับถูกกระแสข่าวเลือกตั้งกลบ จนคนไทยให้ความสำคัญน้อยมากทั้งนี้ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายกัมพูชามีความพยายามดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน วางแผนล่วงหน้าในการที่จะยึดแผ่นดินไทยให้ได้ โดยอ้างถึงเอ็มโอยู 2543 และแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อยืนยันการเป็นเจ้าของพื้นที่ 4.6 ตร.กม.มาโดยตลอด แต่ฝ่ายไทยกลับปล่อยปละละเลยเปิดช่องให้เรื่องไปถึงศาลโลก ที่มีผลกระทบต่อการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกอย่างแน่นอน เพราะหากศาลโลกมีคำสั่งคุ้มครองก็ย่อมที่จะครอบคลุมห้วงเวลาระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์
“ฝ่ายกัมพูชาคิดแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนล่วงหน้า แล้วฝ่ายไทยกลับไปเดินตาม โดยไม่มีการระวังป้องกัน โดยเฉพาะการขึ้นศาลโลกครั้งนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีความจำเป็นใดๆ หรือไม่ต้องไปขึ้นก็ได้ เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่กลับไม่ทำอะไร ทำให้ฝ่ายไทยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและสามารถทำได้ทันที ขอเพียงรัฐบาลมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ” พล.ต.จำลองกล่าว