หัวหน้าประชาธิปัตย์แปลกใจ พท.ให้คนหนีคดีกำหนดอนาคตชาติ วอนคนไทยอย่ายอม โยนประชาชนตัดสิน “เสธ.หนั่น” นายกฯ ปรองดอง ชี้ให้พรรคขนาดกลางเป็นนายกฯ ก็เป็นไปได้ วอนอย่าสร้างสถานการณ์ให้วุ่น แนะเพื่อไทยอย่าหลอกชาวบ้านดันคนอื่นนั่งเก้าอี้แทน “ยิ่งลักษณ์” ยันไม่หวั่นไหวหัวคะแนนโดนยิง จี้ ตร.ฟัน รับคะแนนเสียง กทม.สูสี ต้องทำงานหนัก แย้มพรุ่งนี้ไปอีสาน ยันพร้อมลาออกจากหัวหน้าพรรคถ้าถดถอย
วันนี้ (27 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาก่อการร้าย จะเป็นผู้เคาะคนที่จะมาเป็นตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า ตนแปลกใจว่าเรายุบสภาคืนอำนาจนั้นเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน ประชาชนจะต้องมีสิทธิที่จะรู้ ที่จะเลือกว่าใครจะมาเป็นผู้นำรัฐบาล บริหารประเทศต่อไป แต่พรรคการเมืองมาบอกว่าเป็นเรื่องของคนที่อยู่ต่างประเทศ หนีคดี มาเป็นคนกำหนดอนาคตของบ้านเมือง ไม่คิดว่าคนไทยควรจะยอมสภาพอย่างนี้ คิดว่าประชาชนคนไทยควรจะต้องได้ตัดสินใจอย่างโปร่งใสชัดเจน เพื่อชี้อนาคตของบ้านเมือง และต้องยืนยันว่าบ้านเมืองวันนี้ต้องปกครองด้วยกฎหมาย รักษากติกากัน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครก็ตามใช้อำนาจเงินบ้าง อำนาจอื่นบ้างเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้แก่ตัวเองแล้วทำให้ประเทศชาติประชาชนเสียโอกาส เสียประโยชน์ คิดว่าเราไม่ควรยอม และอยากขอให้ประชาชนทุกคนผนึกกำลังกันอย่ายอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับประเทศไทย
เมื่อถามว่าทาง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาบอกว่าพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีปรองดอง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ท่านก็สามารถเสนอตัวได้ในการเลือกตั้งโดยให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ผู้สื่อข่าวซักต่อว่า เท่ากับว่ามีคนกำลังเตรียมสูตรจัดตั้งรัฐบาลเพื่อให้พรรคขนาดกลางมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ในเรื่องของพรรคการเมืองต่างๆ แต่คิดว่าทุกคนต้องเคารพเสียงที่ประชาชนจะสะท้อนออกมาด้วย เมื่อถามว่ากระแสที่จะให้ พล.ต.สนั่นเป็นนายกรัฐมนตรีปรองดองมีมาก่อนที่จะยุบสภา แสดงว่ามีการว่าแผนไว้แล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ามีใครเสนอว่าอันนี้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนก็ควรจะประกาศอย่างโปร่งใสไปเลย แล้วให้ประชาชนตัดสินใจว่าสนับสนุนหรือไม่
เมื่อถามว่าสอดรับกับคำพูดของนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เคยออกมาบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจไม่ใช้ผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของพรรคเพื่อไทย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ตนเองคิดว่าเรายุบสภามีการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย ทุกพรรคควรจะมีความชัดเจน ในเรื่องนี้ จุดยืนจะเป็นอย่างไรในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนใครขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศ เพราะเป็นสิทธิของประชาชนที่พึงจะรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ต่อกรณีที่ว่าหากมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายหลังการเลือกตั้งจนบีบบังคับจน 2 พรรคใหญ่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล หรือเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และให้คนกลางมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เวลานี้คิดว่าเรากำลังพยายามที่จะประคับประคองระบบของบ้านเมือง ระบบการเมือง ระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ให้เดินหน้าเหมือนกับประเทศอื่นๆ อย่าไปใช้วิธีการอื่นเลย ใช้กระบวนการตรงนี้ในการเดินหน้าประเทศไทยต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. สามารถที่จะเอาผิดได้หรือไม่ ถ้าชู น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ แต่หลังเลือกตั้งกลับไม่ใช่ ถือเป็นการหลอกลวงประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์หัวเราะพร้อมกล่าวว่า ตนเองไม่ทราบในเชิงข้อกฎหมาย แต่การทำงานทางการเมืองแล้วเป็นพรรคการเมืองของประชาชน ต้องให้ความจริงกับประชาชนไม่ควรมีการหลอกลวง หรือมาทำอะไรอย่างนี้
ต่อกรณีที่ขณะนี้เริ่มมีความรุนแรงเกิดขึ้น โดยมีการยิงหัวคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตำรวจจะต้องดำเนินการให้ได้ และวิธีปรามที่ดีที่สุดคือการสามารถที่จะดำเนินคดีจับกุมคนกระทำความผิดได้ แต่พวกเราไม่ได้หวั่นไหว เดินหน้าทำงานกันอย่างเต็มที่ตามปกติ เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังพื้นที่ใน กทม.จะต้องระมัดระวังอะไรเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องระมัดระวังอยู่แล้ว และสามารถที่จะขอให้ทางเจ้าหน้าที่มาดูแลเรื่องของความปลอดภัยได้ แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องเร่งสอบสวนออกมาไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายประชา ประสพดี หรือเหตุการณ์ในพื้นที่อื่นๆ และล่าสุดที่ กทม.ด้วย เมื่อถามว่าทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งตึงเครียดมากขึ้นหรือไม่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในข้อเท็จจริง จะมีเหตุการณ์แบบนี้อยู่เกือบทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งเราไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ทุกคนต้องหนักแน่นในการที่จะเดินหน้า ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ต้องเข้มข้นในการดำเนินการ เมื่อคืนตนเองได้พบกับ พล.ต.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ในงาน โดยเรียนไปว่าต้องดูแลให้ทุกอย่างเกิดความเรียบร้อย
ส่วนกรณีที่สำนักข่าวเนชั่นได้ทำสำรวจมาล่าสุดพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะขาดแค่ 5 เขตในพื้นที่ กทม.นอกนั้นสูสีนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับว่า ก็ตรงอย่างที่ตนเคยบอกว่าคะแนนเสียงใน กทม.ค่อนข้างจะสูสีกัน ซึ่งเป็นอย่างนี้เกือบทุกครั้ง ปี 2550 สำหรับประชาธิปัตย์หนักกว่านี้ในแง่ของโพลสำรวจที่ออกมาตอนช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องทำงานหนัก และตนเองได้กำชับกับผู้สมัคร ทุกคนทุกเขต ทุกพื้นที่ต้องทำงานหนัก เพราะการแข่งขันทุกพื้นที่ไม่มีที่ไหนเบา เมื่อถามว่า ใจเสียไหมกับผลสำรวจที่ออกมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่หรอก เพราะตรงกับผลสำรวจของเรา เพราะในส่วนของเราคำว่าสูสี ส่วนใหญ่ไปในทางที่บวก เพียงแต่ต้องเข้าใจว่า ในพื้นที่กทม. การเลือกตั้งที่ผ่านมาแต่ละเขตแพ้ ชนะ กันน้อยมาก เพียงแต่คะแนน มันออกมาคล้ายๆ กันทุกเขต พอเอาจำนวน ส.ส. มาดูเหมือนกับชนะกันมาก แต่จริงในกทม. คะแนนจะสูสีกัน
เมื่อถามว่า ประเมินหรือไม่ว่าผลจากการบริหารประเทศมา 2 ปี กับมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองมันส่งผลอะไรกับการตัดสินใจของคน กทม.บ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเลือกตั้งทุกพื้นที่คงจะมองไปในทางอนาคต ว่าอยากให้ประเทศเดินไปทางไหน แต่แน่นอน เหตุการณ์ที่ผ่านมาจะต้องคิดอยู่ในใจว่า แต่ละคน แต่ละพรรคได้ดำเนินการอะไรอย่างไรบ้าง และคงประกอบการตัดสินใจ ตนจะคิดแทนประชาชนไม่ได้ แต่พร้อมที่จะให้ประชาชนได้ตรวจสอบ และอาจจะเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยว่า 2 ปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรไปอย่างไร เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจได้
เมื่อถามว่าการลงพื้นที่ใน กทม. นายกฯ อาจเดินได้ในทุกพื้นที่ แต่ในพื้นที่อีสานซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยจะทำให้ลำบากหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “พรุ่งนี้จะไป”
เมื่อถามว่า ลงพื้นที่มา 2 อาทิตย์ ที่เคยพูดไว้ว่าจะได้เสียง 240 วันนี้ยังมั่นใจหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังมั่นใจว่าจะได้เพิ่มขึ้นแน่นอน ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับถ้าดูตามโพลส์ จะอยู่ใกล้ๆ 200 กันทั้ง 2 พรรคใหญ่ ส่วนกรณีที่พูดในที่ประชุมยุทธศาสตร์พรรคเมื่อวานถึงตัวเลข 180 เสียงนั้น ไม่ได้เป็นการประชุมของพรรค เพียงแค่พูดคุยแลกเปลี่ยน สืบเนื่องจากที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิพรรคใจไทย บอกว่าต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค ตนก็เลยถามว่าตัวเลขเท่าไรถึงจะต้องลาออก แต่โดยหลักถ้าตนเองบริหารพรรค แล้วพรรคถดถอย หรือพรรคเสียหายตนต้องรับผิดชอบอยู่แล้วไม่มีปัญหา เมื่อถามว่าเป็นการลดเป้าเดิมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน ไม่อย่างนั้นถ้าพรรคเพื่อไทย ได้เสียง 260 เสียงต้องลาออกไหม เพราะเขาบอกไว้ว่าต้อง 270 เสียง