ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ในความเป็นจริงมีเพียง 2 พรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นที่แข่งขันกันชิงอำนาจรัฐผ่านทางการเลือกตั้ง นั่นคือ พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย โดยพรรคแรกมีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนพรรคหลังมี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำ
ส่วนจะออกมาในรูปแบบ “หุ่นเชิด” เหมือนกันหรือไม่ หรือแตกต่างกันในรายละเอียดแบบไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากเป้าหมายและที่มาของแต่ละคนแตกต่างกัน
หากแยกแยะออกมาก็จะเห็นถึงความน่าเกลียด ความเห็นแก่ตัวของ นักเลือกตั้ง รวมไปถึง “นักลงทุนทางการเมือง” ดังกล่าวเหล่านี้ โดยจะโฟกัสไปทีละคน เริ่มจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าทีมจากพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน ที่กำลังใช้สโลแกนว่า “วันแรกทำได้ทันที” ทั้งในเรื่องเพิ่มรายได้ ปราบยาเสพติด สวัสดิการสังคม เป็นต้น แม้ว่าหากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรมมันก็มีส่วนที่สร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้านพอเห็นเป็นรูปธรรมได้บ้าง เช่นเรื่องเรียนฟรี เบี้ยยังชีพ ประกันรายได้ แต่ในภาพรวมนอกเหนือจากนี้ล้วน “ล้มเหลว” เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น มีความภาคภูมิใจในภาวะผู้นำของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม ตลอดระยะเวลาในการบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรีมานาน 2 ปีครึ่ง มีแต่เสียงวิจารณ์ในเรื่องการทุจริตของหลายหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลในฐานะผู้นำสูงสุด มีเสียงวิจารณ์ในเรื่องการระบาดของยาเสพติด แม้ว่าจะมีความพยายามในการปราบปราม จนจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ได้ไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันชาวบ้านกลับไม่รับรู้ถึงความรู้สึกดังกล่าว มีแต่เห็นว่าล้มเหลว ไม่พอใจ
ปัญหาการถูกละเมิดอธิปไตยจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ในยุคของเขากลับทำลายความภาคภูมิใจของกองทัพไทยลงแทบจะหมดสิ้น และอีกไม่กี่วันข้างหน้าไทยก็อาจสูญเสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ประมาณเกือบ 3 พันไร่ให้กับฝ่ายกัมพูชา หลังจากฝ่ายไทยได้ยอมรับอำนาจของศาลโลกในกรณีดังกล่าวโดยเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ในศาลตามคำร้องของฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการแล้ว
นอกจากนี้ ภายใต้การบริหารงานของเขายังทำให้ชาวบ้านมีความรู้สึกถึงความเดือดร้อนในเรื่องของค่าครองชีพที่แพงขึ้น สวนทางกับรายได้ ซึ่งแน่นอนว่าความเดือดร้อนดังกล่าวยังมาควบคู่กับข่าวอื้อฉาวทุจริตกรณี “น้ำมันปาล์ม” ที่มาคู่กับการขาดแคลนและราคาแพง น้ำตาลแพง ฯลฯ
สรุปโดยภาพรวมแล้ว เวลา 2 ปีครึ่งที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศ ได้รับโอกาสจากชาวบ้าน ที่เคยรวมใจกันเอาใจช่วย แม้ว่าบางครั้งถึงกับต้องแลกกับชีวิต เลือดเนื้อ หลายคนพิการ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับจากผลงานในการบริหารประเทศ รัฐบาลของเขาเต็มไปด้วยเรื่องคอรัปชั่น ผลงาน “ห่วยแตก” ลักษณะที่ออกมามันก็ไม่ต่างจากการ “ทรยศต่อความรู้สึก” ของชาวบ้านที่อุ้มชูเข้าสู่อำนาจ
ตรงกันข้ามเขากลับไปเกรงใจและให้ความสำคัญกับกลุ่มก๊วนการเมือง รวมไปถึงยอมเป็น “หุ่นเชิด” กับกลุ่มอำนาจ เพียงเพื่อแลกกับการสนับสนุนให้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปวันๆ เท่านั้น หรือเมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้วจะได้ชื่อว่าเป็น “อดีตนายกรัฐมนตรี” มีชื่อบันทึกใน “หอเกียรติภูมิฯ” เท่านั้นนะหรือ
เมื่อหันมาอีกด้านหนึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็ถือว่าเลวร้ายไม่ต่างกัน เพราะไม่ว่าวันไหนก็ยังเป็นทุกอย่างของ ทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่ว่าในบางช่วงบางสถานการณ์ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน “หุ่นเชิด” เข้ามาเท่านั้น และคราวนี้ก็ถึงคราวที่ต้องดันน้องสาวของตัวเองลงมาสู่เวทีเลือกตั้งเพื่อเป็นประตูเข้าสู่อำนาจรัฐ และเป้าหมายที่แท้จริงก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมองออกได้โดยง่ายนั่นคือ ต้องการ “นิรโทษกรรม” ลบล้างความผิด รอดพ้นจากคุก และได้เงินอีก 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดไปกลับคืนมา จากนั้นก็ค่อยคืนสู่อำนาจอีกครั้ง
เพียงแต่ว่ากำลังหาวิธีตบตาชาวบ้านว่าจะใช้วิธีใดก่อนหลัง และเพื่อให้แนบเนียน ไม่ให้ถูกจับได้เสียก่อน แถมยังได้พวกเข้ามาอีกก็คือจะใช้วิธีหาแนวร่วมด้วยการนิรโทษฯพร้อมกันทุกคน โดยอ้างว่าให้นับหลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเพื่อความยุติธรรมก็คงต้องปล่อยนักโทษในเรือนจำคดียาเสพติด คดีทุจริต คดีฆ่าคนตาย คดีปล้น ฯลฯ อย่างนั้นหรือไม่ เพราะพวกเขาก็มีที่มาไม่ต่างกัน ถูกศาลตัดสินจำคุกในคดีอาญาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนพวกนี้ไม่มีปัญญาหลบหนีเท่านั้น
ดังนั้น หากให้สรุปความเป็นมาเป็นไปของบุคคลทั้งสองคนคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันก็มีความทุเรศไม่ได้แตกต่างกันเท่าใด เพราะคนแรกอยู่ในตำแหน่งผ่านมากว่า 2 ปี มีแต่ความล้มเหลวไม่มีภาวะผู้นำทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส แต่ยังมีหน้ามาขอโอกาส ขณะที่คนหลังนอกจากเรื่องส่วนตัวที่ “อื้อฉาว” แล้วยังมาทำหน้าหน้าที่เป็น “หุ่นเชิด” รายล่าสุดเพื่อล้างความผิดให้พี่ชาย ซึ่งทั้งสองคนไม่ว่าใครเข้ามารับรองว่าไม่ได้แตกต่างกัน!!