ผ่าประเด็นร้อน
นับแต่สัปดาห์นี้ถือว่าประเทศไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว ขั้นตอนแรกก็คือการรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ที่จะเริ่มกันตั้งแต่ 19 พ.ค.นี้เป็นต้นไป จากนั้นระบบเขตหรือวันแมนวันโหวตก็จะตามมาในสัปดาห์ถัดไป
เมื่อการเลือกตั้งเกิดขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการแข่งขันกันของผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่ปีนี้ก็คงเหมือนทุกปี คือเมื่อแข่งกันแรง-ลงแล้วต้องชนะ ไม่เช่นนั้นเสียทั้งเงินและศักดิ์ศรีในพื้นที่ของผู้สมัคร ส.ส.พรรคต่างๆ
เหตุความรุนแรงในพื้นที่เลือกตั้งที่ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ กับสองเหตุการณ์ที่เกิดติดๆ กันตั้งแต่การลอบยิง ประชา ประสพดี อดีต ส.ส.สมุทรปราการ แกนนำเพื่อไทยในพื้นที่ปากน้ำ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 10 พ.ค. 2554 และตามด้วยการปาระเบิดใส่รถหัวคะแนน วรชัย เหมมะ แกนนำนปช.แดงปากน้ำและผู้สมัครส.ส.สมุทรปาการ พรรคเพื่อไทยเมื่อ 13 พ.ค. 2554 คือจุดเริ่มต้นของความรุนแรงในการเลือกตั้ง เชื่อได้ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้อีกหลายครั้ง ไม่ต้องห่วง
เรื่องนี้เห็นท่าทีของฝ่ายตำรวจแล้ว บอกได้เลยว่า คงเอาไม่อยู่!
ผู้สมัคร ส.ส.-หัวคะแนน-ทีมงานเลือกตั้ง ใครคนไหนไม่อยากโดนไข้โป้งก็ต้องป้องกันระวังตัวกันให้ดี อย่าไปหวังว่าตำวจจะช่วยดูแลให้ ยกเว้นจะมีเงินพิเศษจ่ายให้เป็นค่าคุ้มครอง หากไม่มีไม่จ่าย ก็ซื้อเสื้อกันกระสุน-ติดรถกันกระสุนกันเองแล้วกัน
ที่บอกตำรวจคงเอาไม่อยู่ ไม่ได้สบประมาท แต่เห็นการทำงานแล้วบอกได้เลยว่า ทำแบบตั้งรับ รอให้เกิดเหตุ แล้วค่อยแก้ปัญหา ส่งทีมลงไปสอบสวนพอข่าวหายไปสองวัน ก็แยกย้ายกันไปตามระเบียบ
ไม่ต้องดูอื่นไกล เอาแค่คดีประชา ประสพดี นึกหรือว่าตำรวจจะจับมือปืนและคนสั่งการได้
เรื่องความรุนแรงในการเลือกตั้ง หากว่าผู้สมัครส.ส.เลวๆ จะเข่นฆ่ากันเอง คนคงไม่ว่า แต่หากประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือคนดีๆ ต้องมาโดนลูกหลง หรือโดนสั่งเก็บเพราะมาลงเลือกตั้งแข่งกับพวกนักการเมืองชั่วๆ แบบนี้สิที่น่าเป็นห่วง
ดูแค่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พอแล้ว “บิ๊กตำรวจ” นำโดย พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ทำเป็นขึงขังแถลงเปิดรายชื่อผู้ต้องหาที่เป็นมือปืนรับจ้างที่ยังเดินเพ่นพ่านลอยนวลนอกคุกออกมารับงานอยู่ข้างนอก ซึ่งเป็นรายชื่อที่ตำรวจทำบัญชีขึ้นใหม่ในปี 2554 จำนวน 43 ราย
คำถามเกิดขึ้นว่า ตำรวจต้องการอะไรถึงเอารายชื่อ-หน้าตาทั้งหมดมาแถลงข่าวแจกจ่ายให้สื่อมวลชน พร้อมกับตั้งรางวัลนำจับใครแจ้งเบาะแสให้ตำรวจได้จะให้รางวัล 5 หมื่น - 1 แสนบาท
แสดงว่าจนปัญญาแล้วใช่ไหม ตำรวจมีสองแสนกว่านายทั่วประเทศ แต่มือปืนที่ตำรวจบอกว่าเป็นพวกมีคดีติดตัว และยังลอยนวลอยู่ 43 ราย ตำรวจทั่วประเทศยังตามตัวมาดำเนินคดีเอาเข้าคุกเพื่อให้ชดใช้ความผิดและเวรกรรมที่สร้างไว้ ตำรวจยังทำไม่ได้ ปล่อยให้ลอยนวลหลายปี
อย่างในรายชื่อทั้ง 43 คนพบว่ามีชื่อ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา และ ส.อ.สมชาย บุนนาค สองมือปืนที่ถูกหมายจับคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรวมอยู่ด้วย แค่นี้ประจานให้เห็นถึงความล้มเหลวของตำรวจไทยแล้วว่า ขนาดคดีอุฉกรรจ์ที่เป็นข่าวไปทั่วโลกอย่างคดียิงนายสนธิ ที่เกิดเหตุมาสองปีกว่า คนร้ายยังอยู่ดีมีสุข
จริงอยู่ว่า ตำรวจคงหวังให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสให้ตำรวจทราบหากพบเห็นหน้าค่าตาของมือปืนทั้งหมดที่ก็เป็นเรื่องดี แต่ส่วนใหญ่ก็รู้ๆ กันอยู่ ไม่ค่อยมีใครแจ้งอยู่แล้ว
แต่วัตถุประสงค์ของตำรวจจริงๆ คงหวังทำเป็นเทคแอคชั่นแสดงให้คนในรัฐบาลประชาธิปัตย์หรือแม้แต่แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่อาจขึ้นมาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ได้เห็นว่าตำรวจเอาจริงเอาจังกับการดูแลการเลือกตั้งไม่ให้มีไข้โป้งเกลื่อนเมือง เพื่อหวังว่าหากเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลหรือประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลต่อ ก็จะได้รู้สึกว่าตำรวจแต่ละคนที่ทำเรื่องดูแลการเลือกตั้ง สมควรได้รับการดูแลหลังเลือกตั้งด้วย ไม่ใช่มาปลดมาย้ายกันหลังเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง
สิ่งที่สังคมตั้งคำถามกันก็คือ การที่ตำรวจเอาหน้าตา-รายชื่อ มือปืน 43 คนที่หนีหมายจับมาประกาศแบบนี้ และคงไม่ได้ผลถ้าเป็นแผนของตำรวจที่คิดจะเล่นเชิงจิตวิทยาว่าตำรวจเอาจริงเรื่องการกวาดล้างซุ้มมือปืนและอาวุธสงคราม ในช่วงเลือกตั้ง
หรือคงไม่มีใครกลัวกับการทำแค่นี้ คิดหรือว่าคนคิดทำผิดหรือใช้ความรุนแรงในช่วงเลือกตั้ง ที่คิดจะจ้างมือปืนสักคนไปตามเก็บผู้สมัครส.ส.หรือหัวคะแนนฝ่ายตรงข้าม จะเปลี่ยนใจไม่จ้างแล้ว
ยิ่งพวกตำรวจที่คอยออกมาประโคมข่าวว่า มีบัญชีซุ้มมือปืนทั่วประเทศ-กลุ่มผู้มีอิทธิพลเก็บไว้ในบัญชีดำของตำรวจหมดแล้ว ของแบบนี้ ถ้ามีจริง ก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด กวาดล้างจับกุมไปเลย ไม่ใช่ทำเป็นเก่งแต่ปาก บอกมีข้อมูลรู้ความเคลื่อนไหว แต่ไม่เห็นทำอะไร
สุดท้ายก็ลั่นไก-โยนระเบิด กันสนั่นเมือง
ถึงเวลาแล้วที่ตำรวจภายใต้การนำของ” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ผบ.ตร.ต้องเอาจริงเอาจังกับการป้องกันและปราบปราม ไม่ให้การเลือกตั้งของไทยกลายเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าเป็นเลือกตั้งเลือด มือปืนเดินรับงานกันเกลื่อน อาวุธสงครามโดนลากมาถล่มกันกลางเมือง มันขายหน้าเขา
ดังนั้น หาก พล.ต.อ.วิเชียรจะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยไม่ต้องให้รัฐบาลต้องกลับมาออกพรบ.ความมั่นคงอีกรอบ ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพพจน์การเลือกตั้งของประเทศไทยแน่นอน พล.ต.อ.วิเชียร ก็ต้องทำให้การทำงานของตำรวจในการดูแลการเลือกตั้ง ที่มีการตั้ง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือ ศรส.ลต.ตร.ต้องเป็นหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
เพราะดูโครงสร้างและการตั้งบิ๊กตำรวจแต่ละคนมาไว้ในศูนย์แห่งนี้แล้ว ก็พบว่าล้วนเป็นระดับใหญ่ๆทั้งสิ้น แต่ไม่รู้ว่าถึงเวลาทำงานจริง จะทำเป็นหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นตัวพล.ต.อ.วิเชียรที่ตามข่าวบอกว่าจะนั่งเป็น ผอ.ศรส.ลต.ตร.แล้วให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รับหน้าที่เป็นตัวกลางของศูนย์นี้ในฐานะผู้กำกับดูแลศูนย์ฯ โดยแบ่งงานให้รอง ผบ.ตร.และที่ปรึกษา สบ 10 รับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งกันไปตามสายงานที่ ผบ.ตร.ได้แบ่งไว้ก่อนหน้านี้
เช่น พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ดูแลภาค 1, 2 และ 7, พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รับผิดชอบดูแล บช.น., ก. และ ศบร.ตร. , พล.ต.อ.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ดูแลภาค 5 และ 6 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง คุมสายงานสืบสวนคดีที่เกิดช่วงเลือกตั้ง เป็นต้น
แต่จะให้ดี เห็นฟอร์มทีมกันแบบนี้ ตั้งงบประมาณกันไม่รู้มากน้อยแค่ไหน ตำรวจก็ต้องแสดงฝีมือให้ประจักษ์ด้วย
ไม่อย่างงั้น เก้าอี้ ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.วิเชียร จะง่อนแง่นหลังเลือกตั้ง ก็คงไม่มีใครช่วยได้