"นายจตุพร พรหมพันธ์ จำเลยที่ 2 และนายนิสิต สินธุไพร จำเลยที่ 8 ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโดยละเอียดแล้ว เห็นว่า พฤติการณ์การกระทำตลอดจนคำพูดของจำเลยที่ 2 และ ที่ 8 มีลักษณะส่อไปในทางที่อาจจะทำให้ประชาชนทั่วไปสับสนในข้อเท็จจริงจนถึงขั้น ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งนับว่าเป็นการก่อเหตุอันตรายและเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรที่เป็นเหตุที่ศาลจะเพิกถอนสัญญาประกันจึงมีคำสั่งเพิกถอนสัญญา ประกันเฉพาะนายจตุพร จำเลยที่ 2 และนายนิสิต จำเลยที่ 8"
สิ้นเสียงการอ่านคำพิพากษาของศาลอาญา “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ถูกควบคุมตัวเข้าคุก การที่แกนนำคนเสื้อแดงทั้งสองถูกถอนประกันตัวชั่วคราวครั้งนี้ส่งผลไปในสองทาง คือ
ส่วนหนึ่งรู้สึกว่าความยุติธรรมได้เกิดขึ้นและกรรมตามทัน “คางคกตู่”แล้ว หลังจากทหี่รอดคุกพ้นตะรางจากการใช้เอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.เหนือเพื่อนไพร่ ที่มีรสนิยมไปกินอาหารหรูย่านทองหล่อมานาน
อีกส่วนหนึ่งสำหรับสาวกเสื้อแดงก็คงคั่งแค้นผูกใจเจ็บรัฐบาลและศาลเพราะถูกล้างสมองให้เชื่อเสียแล้วว่า คนเหล่านี้ถูกกลั่นแกล้ง ทั้ง ๆ ที่บรรดาคนเสื้อแดงเหล่านี้กระทำการท้าทายกฎหมายอย่างย่ามใจมาเป็นเวลานานแรมปี โดยเฉพาะการบังอาจพาดพิงถึง “สถาบันสูงสุด”อันเป็นที่รักของคนไทยอย่างเป็นขบวนการและต่อเนื่อง
มีเป้าหมายหลักกัดกร่อนสถาบันหลักของชาติเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ที่มี นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประมุข ฉีกรัฐธรรมนูญทุกฉบับเพื่อให้โจรปล้รชาติพ้นผิดโดยไม่คำนึงถึงหลัก “นิติรัฐ” มีแต่หลัก “นิติชิน”คอยบงการเท่านั้น
เมื่อสังคมส่วนหนึ่งยังขาดความตระหนักรู้และถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเช่นนี้ บ้านเมิองก็ยังคงสุ่มเสี่ยง ความมั่นคงของชาติถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย โดยเฉพาะเมื่อศาลมีคำสั่งถอนประกันตัวเอ้ อย่าง “คางคกตู่” การปลุกปั่นอย่างเป็นระบบย่อมเกิดขึ้นทั้งบนดินและใต้ดิน
ที่น่าติดตามคือ การจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์เผาเมืองในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นวันที่เจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยข่าวกรองต้องทำงานหนัก เพราะกิจกรรมที่อ้างว่าจะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยอาจแปรเปลี่บนเป็นความคลุ้มคลั่งด้วยความคั่งแค้นได้ตามแรงยุส่งของผู้ปราศรัยบนเวที หรืออารมณ์ร่วมหมู่ในที่ชุมนุม
โดยเจ้าหน้าที่ไม่ควรนิ่งนอนใจดูแลเฉพาะจุดชุมนุมเท่านั้น แต่สถานที่ที่คนเสื้อแดงอาจจะเคลื่อนขบวนไปแสดงพลังกดดันศาลอีกระลอกคือเรือนจำที่ขัง “คางคกตู่” และ “นิสิต” นั่นแหละ
แม้ทักษิณจะรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหมิ่นเหม่ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 3 แต่ทักษิณที่เป็นปานดำของเสื้อแดงมาตั้งแต่เกิดตามสำนวนของจรัล ดิษฐาอภิชัย ย่อมรู้ดีว่าเวลาล่วงมาเกือบ 5 ปีกับการล้างสมองสร้างความเชื่อผิดๆในหมู่ประชาชน ย่อมมีผลต่อพัฒนาการของมวลชนไปในทิศทางที่คุกรุ่นรุนแรงขึ้นและอยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติการได้ตลอดเวลา ซึ่งการต่อสู้ตามแนวทางของทักษิณที่คนในเสื้อแดงประณามว่าเป็นการสู้ไปกราบอำมาตย์ไปนั้น ย่อมเป็นหนามตำใจที่ทำให้วันนี้เสื้อแดงก็มิใช่จะรวมตัวติดเป็นเนื้อเดียวกัน
แต่พลังของเสื้อแดงที่ถูกปลูกฝังให้ชินชากับการใช้ความรุนแรงป่วนเมือง คงยากที่จะยับยั้งชั่งใจยุติพฤติกรรมดิบ ถ่อย เถื่อน ของตัวเองได้ แม้ พ่อแม้วจะสั่งถอดเสื้อแดงั่วคราวก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพฤติกรรมต่าง ๆ ย่อมสามารถพิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริง ใครไปขัดขวาง ต่อต้านการรณรงค์หาเสียง ด่าทอ ก่อกวนคนอื่น เหล่านี้ล้วนเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น
กกต.ไม่ควรนิ่งดูดาย แต่ต้องออกระเบียบเสียให้ชัดเจนว่าทุกเวทีไม่ว่าจะจัดโดยนักการเมืองหรือกลุ่มที่อ้างว่าเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ หากมีการให้ร้ายป้ายสียุยงส่งส่งเสริมประชาชนให้ก่อความรุนแรง ล้วนต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นพรรคเพื่อไทยก็คงใช้เวทีแดงด่ากราดคนอื่นฟรีๆ โดยคนที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆคือ พรรคเพื่อไทย
สิ่งเหล่านี้ กกต.คงไม่บ้องตื้นมองไม่เห็น หรือมัวแต่ไปออกกฎระเบียบหน่อมแน้มห้ามอะไรไม่เข้าท่า
และสิ่งที่ กกต.ควรทำนับจากนี้ไป คือออกระเบียบให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนปฏิบัติได้ สิ่งใดทำไม่ได้ ไม่ใช่บอกว่าตอนนี้ยังบอกไม่ได้ต้องรอให้มีการร้องเรียนก่อน หรือมัวแต่มานั่งคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทางอินเตอร์เน็ตสื่อออนไลน์ใหม่แบบยิบย่อย แทนที่จะหาข่าวการทุจริต การปฎิบัติตัวไม่เป็นกลางของข้าราชการ หรือมีใครปิดหมู่บ้านซื้อเสียงข่มขู่หัวคะแนน
กระสุนหลายนัดดังขึ้นแล้วหลังยุบสภาเพียง 1 วัน เลือดของนักเลือกรั้งหยาดหยดลงแผ่นดินผืนนี้แล้วเช่นเกียวกัน หน้าที่ของ กกต.ที่ต้องบอกว่าตอนนี้มีอำนาจสูงสุดควรต้องเคร่งครัดดำเนินการให้ประชาชนตื่นตัวในการใช้สิทธิ์ ป้องปรามไม่ให้เป็นการเลือกตั้งเลือด
สิ้นเสียงการอ่านคำพิพากษาของศาลอาญา “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ถูกควบคุมตัวเข้าคุก การที่แกนนำคนเสื้อแดงทั้งสองถูกถอนประกันตัวชั่วคราวครั้งนี้ส่งผลไปในสองทาง คือ
ส่วนหนึ่งรู้สึกว่าความยุติธรรมได้เกิดขึ้นและกรรมตามทัน “คางคกตู่”แล้ว หลังจากทหี่รอดคุกพ้นตะรางจากการใช้เอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.เหนือเพื่อนไพร่ ที่มีรสนิยมไปกินอาหารหรูย่านทองหล่อมานาน
อีกส่วนหนึ่งสำหรับสาวกเสื้อแดงก็คงคั่งแค้นผูกใจเจ็บรัฐบาลและศาลเพราะถูกล้างสมองให้เชื่อเสียแล้วว่า คนเหล่านี้ถูกกลั่นแกล้ง ทั้ง ๆ ที่บรรดาคนเสื้อแดงเหล่านี้กระทำการท้าทายกฎหมายอย่างย่ามใจมาเป็นเวลานานแรมปี โดยเฉพาะการบังอาจพาดพิงถึง “สถาบันสูงสุด”อันเป็นที่รักของคนไทยอย่างเป็นขบวนการและต่อเนื่อง
มีเป้าหมายหลักกัดกร่อนสถาบันหลักของชาติเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ที่มี นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประมุข ฉีกรัฐธรรมนูญทุกฉบับเพื่อให้โจรปล้รชาติพ้นผิดโดยไม่คำนึงถึงหลัก “นิติรัฐ” มีแต่หลัก “นิติชิน”คอยบงการเท่านั้น
เมื่อสังคมส่วนหนึ่งยังขาดความตระหนักรู้และถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเช่นนี้ บ้านเมิองก็ยังคงสุ่มเสี่ยง ความมั่นคงของชาติถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย โดยเฉพาะเมื่อศาลมีคำสั่งถอนประกันตัวเอ้ อย่าง “คางคกตู่” การปลุกปั่นอย่างเป็นระบบย่อมเกิดขึ้นทั้งบนดินและใต้ดิน
ที่น่าติดตามคือ การจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์เผาเมืองในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นวันที่เจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยข่าวกรองต้องทำงานหนัก เพราะกิจกรรมที่อ้างว่าจะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยอาจแปรเปลี่บนเป็นความคลุ้มคลั่งด้วยความคั่งแค้นได้ตามแรงยุส่งของผู้ปราศรัยบนเวที หรืออารมณ์ร่วมหมู่ในที่ชุมนุม
โดยเจ้าหน้าที่ไม่ควรนิ่งนอนใจดูแลเฉพาะจุดชุมนุมเท่านั้น แต่สถานที่ที่คนเสื้อแดงอาจจะเคลื่อนขบวนไปแสดงพลังกดดันศาลอีกระลอกคือเรือนจำที่ขัง “คางคกตู่” และ “นิสิต” นั่นแหละ
แม้ทักษิณจะรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหมิ่นเหม่ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 3 แต่ทักษิณที่เป็นปานดำของเสื้อแดงมาตั้งแต่เกิดตามสำนวนของจรัล ดิษฐาอภิชัย ย่อมรู้ดีว่าเวลาล่วงมาเกือบ 5 ปีกับการล้างสมองสร้างความเชื่อผิดๆในหมู่ประชาชน ย่อมมีผลต่อพัฒนาการของมวลชนไปในทิศทางที่คุกรุ่นรุนแรงขึ้นและอยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติการได้ตลอดเวลา ซึ่งการต่อสู้ตามแนวทางของทักษิณที่คนในเสื้อแดงประณามว่าเป็นการสู้ไปกราบอำมาตย์ไปนั้น ย่อมเป็นหนามตำใจที่ทำให้วันนี้เสื้อแดงก็มิใช่จะรวมตัวติดเป็นเนื้อเดียวกัน
แต่พลังของเสื้อแดงที่ถูกปลูกฝังให้ชินชากับการใช้ความรุนแรงป่วนเมือง คงยากที่จะยับยั้งชั่งใจยุติพฤติกรรมดิบ ถ่อย เถื่อน ของตัวเองได้ แม้ พ่อแม้วจะสั่งถอดเสื้อแดงั่วคราวก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพฤติกรรมต่าง ๆ ย่อมสามารถพิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริง ใครไปขัดขวาง ต่อต้านการรณรงค์หาเสียง ด่าทอ ก่อกวนคนอื่น เหล่านี้ล้วนเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น
กกต.ไม่ควรนิ่งดูดาย แต่ต้องออกระเบียบเสียให้ชัดเจนว่าทุกเวทีไม่ว่าจะจัดโดยนักการเมืองหรือกลุ่มที่อ้างว่าเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ หากมีการให้ร้ายป้ายสียุยงส่งส่งเสริมประชาชนให้ก่อความรุนแรง ล้วนต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นพรรคเพื่อไทยก็คงใช้เวทีแดงด่ากราดคนอื่นฟรีๆ โดยคนที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆคือ พรรคเพื่อไทย
สิ่งเหล่านี้ กกต.คงไม่บ้องตื้นมองไม่เห็น หรือมัวแต่ไปออกกฎระเบียบหน่อมแน้มห้ามอะไรไม่เข้าท่า
และสิ่งที่ กกต.ควรทำนับจากนี้ไป คือออกระเบียบให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนปฏิบัติได้ สิ่งใดทำไม่ได้ ไม่ใช่บอกว่าตอนนี้ยังบอกไม่ได้ต้องรอให้มีการร้องเรียนก่อน หรือมัวแต่มานั่งคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทางอินเตอร์เน็ตสื่อออนไลน์ใหม่แบบยิบย่อย แทนที่จะหาข่าวการทุจริต การปฎิบัติตัวไม่เป็นกลางของข้าราชการ หรือมีใครปิดหมู่บ้านซื้อเสียงข่มขู่หัวคะแนน
กระสุนหลายนัดดังขึ้นแล้วหลังยุบสภาเพียง 1 วัน เลือดของนักเลือกรั้งหยาดหยดลงแผ่นดินผืนนี้แล้วเช่นเกียวกัน หน้าที่ของ กกต.ที่ต้องบอกว่าตอนนี้มีอำนาจสูงสุดควรต้องเคร่งครัดดำเนินการให้ประชาชนตื่นตัวในการใช้สิทธิ์ ป้องปรามไม่ให้เป็นการเลือกตั้งเลือด