ชาติไทยพัฒนาเปิดตัว “เขาทราย-สมรักษ์-เจริญทอง-มนัส” ลง ส.ส. “ชุมพล” นัดเปิดตัวทุกเขต 18 พ.ค.หวัง 4 แชมป์มวยคุ้มครองแทนรถกันกระสุน ด้าน “จอมโม้” หวังสร้างสีสันสู่สภา ปัด “ปาเกียว” แรงบันดาลใจ ขณะที่แชมป์มวยไทยหวังน็อก “โทรโข่งมาร์ค” แน่ พร้อมเปิดนโยบายปรองดอง สร้าง ศก.เพิ่มรายได้ “ประดิษฐ์” ชูตั้ง กก.แห่งชาติสู่ประชาคมอาเซียน ทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ พัฒนาเกษตรกรรม
วันนี้ (12 พ.ค.) ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาทีมชาติไทย ซึ่งเป็นแชมป์มวยไทยระดับเหรียญทองโอลิมปิก แชมป์โลกขวัญใจชาวไทย 4 คน คือ ร.อ.สมรักษ์ คำสิงห์ ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 1996 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 10 ขอนแก่น นายสุระ แสนคำ หรือเขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมป์โลกขวัญใจชาวไทย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เพชรบูรณ์ นายเจริญ ชูมณี หรือเจริญทอง เกียรติบ้านช่อง อดีตแชมป์มวยไทยชื่อดัง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 นครศรีธรรมราช และนายมนัส บุญจำนงค์ ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2004 ลงระบบ ส.ส.สัดส่วน นอกจากนี้ยังเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครของพรรคในจังหวัดนครสวรรค์ 4 เขต ได้แก่ เขต 2 นายสมชัย เจริญชัยฤทธิ์ เขต 4 นายพีระเดช ศิริวันสาณฑ์ เขต 5 นายธีระวัฒน์ ศิริวันสาณฑ์ และเขต 6 นายนิโรธ สุนทรเลขา
นายชุมพลกล่าวว่า ขอเปิดตัวผู้สมัครวันนี้ในบางส่วนแต่จะเปิดตัวทั่วประเทศในวันที่ 18 พ.ค.นี้ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ วิภาวดี ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนายินดีต้อนรับนักกีฬาและอดีต ส.ส. ทั้งหมดเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน และต่อไปนี้ตนคงไม่ต้องมีเกราะคุ้มครอง ไม่ต้องใช้รถกันกระสุนเพราะอดีตแชมป์มวยทั้ง 4 คนคงจะคุ้มครองตนได้เต็มที่ไม่ผิดกฎ กกต. ถือว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งเรายินดีต้อนรับ และไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาจะมีแต่นักกีฬามวยเข้ามาแต่จะมีนางงามเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกด้วยยังมีอีกเยอะให้รอดูในบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. ล้วนเป็นคนมีคุณภาพทั้งนั้น
โดย ร.อ.สมรักษ์กล่าวว่า สำหรับการตัดสินใจมาเล่นการเมืองในครั้งนี้เพราะเลิกชกมวยแล้ว หลังจากที่เมื่อปี 2539 ได้เหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งเป็นสมัยที่นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ ตนได้นำความภาคภูมิใจมาให้คนไทย ซึ่งเชื่อว่าภาพในวันนั้นยังอยู่ในใจคนไทยทุกคน ดังนั้นจึงอยากเห็นภาพความดีใจตื้นตันใจของชาวไทยที่เป็นภาพเกิดขึ้นในสภาบ้าง ไม่ใช่ว่าสังคมไทยจะมีแต่ความแตกแยก อีกทั้งต้องการพัฒนาเยาวชนให้เอานักกีฬาเป็นตัวอย่างที่ดี ต้องการนำการกีฬามาพัฒนาเศรษฐกิจบ้างจึงตัดสินใจมาเล่นการเมือง ตนเองมีความตั้งใจจริงจึงเชื่อว่าจะทำได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ใครเป็นคนชักชวนเข้ามาเล่นการเมืองในครั้งนี้ ร.อ.สมรักษ์กล่าวว่า กลุ่มของตนได้พูดคุยและทำงานทางการเมืองนานแล้ว อีกทั้งแต่ละคนก็ลงทำกิจกรรมในพื้นที่มาตลอด เช่นเล่นฟุตบอลการกุศล จัดมวยการกุศล ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นพื้นฐาน เป็นตัวอย่างและกำลังใจทีดีให้เยาวชนได้ จึงคิดและรวมตัวกันว่าเราจะเข้ามาสู่สนามการเมืองเพื่อพัฒนาเยาวชนให้หันมาเล่นกีฬาห่างไกลยาเสพติด พัฒนาเศรษฐกิจให้ได้ และตอนนี้กีฬาไทยไปต่างชาติไกลแล้ว ตอนนี้กีฬาไทยและนักกีฬาไทยกำลังเป็นที่นิยม หลายคนหลังจากที่เล่นกีฬามานานเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เมื่อเล่นกีฬาแล้วจึงอยากเข้ามารับใช้ประชาชนในภาคการเมือง จึงอยากเน้นให้กีฬาพัฒนาเศรษฐกิจบ้าง ถ้ากีฬาดังเศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็จะดีขึ้นและมีอนาคต
เมื่อถามว่า ได้แรงบันดาลใจเล่นการเมืองจากปาเกียว แชมป์โลกชาวฟิลิปปินส์หรือไม่ ร.อ.สมรักษ์กล่าวว่า ตนมีความตั้งใจมานานแล้วว่าสักวันหนึ่งอยากมาเป็นนักการเมือง แต่ปาเกียวไปเป็นก่อน เพราะตนยังไม่มีจังหวะยังไม่สบโอกาสแต่ตอนนี้มีความพร้อมเต็มที่แล้ว พวกเราไม่เป็นพิษภัยกับใครเป็นคนของประชาชนอยากมารับใช้ประชาชนโดยตรงแต่การเข้าสู่สนามการเมืองพวกเราเหมือนมวยใหม่คงค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆ ศึกษาให้เข้ากับระบบการเมืองแต่เชื่อว่าคงไม่ยาก
ร.อ.สมรักษ์กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่ากลุ่มนักมวยของตนจะสร้างสีสันและความปรองดองให้แก่วงการการเมืองได้ เพราะทำงานการเมืองนั้นต้องบริหารด้วยการหัวเราะบ้างยิ้มบ้าง ไม่ใช่มีแต่หน้าบึ้งตึงใส่กัน และส่วนตัวตนก็มั่นใจว่าตนไม่แพ้ มั่นใจว่าชนะ เพราะถ้ากลัวแพ้คงไม่มา ชนะแน่เรื่องจริงไม่ได้โม้ เราทุกคนมีความมั่นใจและตั้งใจมาก ที่ตัดสินใจมาลงทำงานทางการเมือง คิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ให้ชาวไทยเพราะที่ผ่านมามีแต่เรื่องยุ่งๆ แต่หากมีพรรคเป็นกลางอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาคงไม่มีเรื่องยุ่งๆ อีก
ขณะที่ นายสุระกล่าวว่า สำหรับตนเรียนปริญญาตรีเอกการปกครอง จึงอยากมารับใช้พี่น้องประชาชนบ้าง ไม่ใช่ชกมวยเก่งอย่างเดียวการเมืองอาจจะเก่งก็ได้ แต่ยอมรับว่าสนามการเมืองกับสนามกีฬาคงจะแตกต่างกัน เพราะเวทีมวยขึ้นไปชกกันแค่ 2 คนเท่านั้น แต่เวทีการเมืองมีหลายคนที่ต้องต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนๆ แต่ต้องต่อสู้กันทุกรูปแบบแต่ไม่ใช่วิธีการโกง เพราะตั้งแต่ที่ตนชกมวยมาก็มีความซื่อสัตย์มาโดยตลอดไม่เคยเอาเปรียบคู่ต่อสู้
เมื่อถามว่า ทำไมเขาทรายจึงตัดสินใจมาลงสมัครในนามพรรคชาติไทยพัฒนาไม่เลือกพรรคอื่น นายสุระกล่าวว่า เมื่อก่อนตนลง ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินเคยทำคะแนนได้ 7 คนจาก 8 กลุ่มแต่ในครั้งนี้อยากลงสมัคร ส.ส.ระบบเขตบ้าง เพราะการลง ส.ส.สัดส่วนต้องเดินสายทั่วประเทศ แต่การทำเขตอยู่ในพื้นที่แค่จังหวัดเดียวเชื่อว่าคงไม่เหนื่อยมากเท่าเมื่อก่อนมั่นใจว่าไม่อยากสำหรับตน เพราะจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดบ้านเกิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า สมัยเป็นแชมป์มวยมีแต่คนรักและชื่นชม หากเป็นนักการเมืองแล้วอาจถูกเกลียดชังและโห่ไล่จะยอมรับได้หรือไม่ นายสุระกล่าวว่า การเป็นนักมวยมีเทคนิคการชก เมื่อมาเป็นนักการเมืองก็ต้องมีเทคนิคในการพูด ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อและนับถือ ทำอย่างไรให้ประชาชนมาสนใจเรา ซึ่งตนมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนคงจะสนใจเราเพราะเราทั้ง 4 คนล้วนเป็นนักมวยหน้าตาดีทั้งนั้น
ผู้สื่อข่าวถามนายเจริญว่า สำหรับพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเดิมเป็นของพรรคประชาธิปัตย์แล้วคิดว่าจะปักธงพรรคชาติไทยพัฒนาได้อย่างไร นายเจริญกล่าวว่า “ผมคิดว่าเขตของผมที่ชนกับนายเทพไท เสนพงศ์ ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมคิดว่าวันนี้ผมมีโอกาสน็อกเขาได้แน่นอน”
เมื่อถามนายมนัสว่า คิดว่าจะเรียกคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อจากชาวราชบุรีได้มากน้อยเพียงใด นายมนัสกล่าวว่า ตนจะช่วยทีมและพรรคชาติไทยพัฒนาลงพื้นที่หาเสียงอย่างเต็มที่และมั่นใจว่า จะช่วยหาคะแนนให้พรรคได้แน่
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมด้วยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา และนายเกษมสันต์ วีระกุล ทีมเศรษฐกิจ ได้ร่วมกันแถลงเปิดนโยบายปรองดอง และนโยบายเศรษฐกิจ โดยนายชุมพลกล่าวว่า เราได้รวบรวมความคิดเห็นและสิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศจึงนำไปสู่การร่างนโยบายหลักของพรรค ซึ่งจะชูในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ คือ นโยบายปรองดองแห่งชาติ การสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ของประชาชน เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องความสามัคคี เรื่องการเมือง ทำให้ประเทศเสียโอกาส เสียเวลาในการพัฒนาความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ทุกอย่างถดถอยไปหมด และหยุดชะงักหลังเหตุการณ์ปฏิวัติ การดำเนินการทางการเมือง การปฏิบัติที่ไม่เสมอภาค ความไม่เป็นธรรมทางสังคม ความแตกแยกยังปรากฎให้เห็นอยู่ ทุกฝ่ายยืนข้างตัวเองที่ได้ประโยชน์ ไม่โน้มไปสู่จุดที่มีประโยชน์ร่วมกัน บุคคลากรในองค์กรต่างๆ ก็ปฏิบัติสองมาตรฐาน และไม่รู้ว่าหลังเลือกตั้งปัญหาจะยุติได้หรือไม่ เพราะไม่มีความสามัคคีกัน ภาวะเศรษฐกิจก็ไม่ได้ก้าว หรืออยู่ในระยะฟื้นตัว
“ที่ผ่านมาพรรคได้ดำเนินงานทางการเมืองด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ และตระหนักอยู่เสมอถึงแนวทางการสร้างความปรองดอง เพื่อนำไปสู่การหาทางออกร่วมกันของทุกฝ่าย บุคลากรในพรรคไม่ว่าจะเป็นนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคได้ใช้ความพยายามที่จะให้เกิดความปรองดองและสามารถพูดคุยหารือได้ทุกฝ่าย จึงเชื่อมั่นว่าจะทำให้แนวทางการแก้ปัญหาและสร้างความปรองดองเกิดขึ้นได้แน่นอน ถือเป็นคำตอบที่คนไทยอยากเห็น ขณะที่กรอบนโยบายของพรรคเบื้องต้นที่เรานำเสนอเป็นการร่างนโยบายบนพื้นฐานของความขัดแย้ง และบนพื้นฐานความไม่สมดุลในการพัฒนามุ่งเน้นการพัฒนาเฉพาะในพื้นที่ กทม.เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต่อไปพรรคจะเน้นการพัฒนาพื้นที่ชนบทให้มากขึ้น เพื่อลงไปสู่ระดับรากหญ้า” นายชุมพลกล่าว
ด้าน นายประดิษฐ์ กล่าวว่า การสร้างเศรษฐกิจเพื่อนำไปสู่รายได้ การมุ่งลดช่องว่างระหว่างคนรวย คนจน ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ควรมุ่งสู่การยกระดับความมั่นคงให้พ้นจากความมั่นคงอย่างจริงจัง ซึ่งระบบเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้ต้องมีการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญของคุณภาพเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน โดยนโยบายของพรรคมุ่งใน 3 ประเด็น คือ 1.การเตรียมประเทศเป็นประชาคมอาเซียน โดยจะตั้งคณะกรรมการแห่งชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมประเทศไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี 57 ก่อนที่จะมีการเปิดเขตเสรีทางการค้าในปี 58 ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมทางด้านการลงทุน สาธารณูปโภค ด้านคมนาคมไม่ว่าจะเป็นระบบราง และรถไฟความเร็วสูง และการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อดึงดูดการลงทุน จากการใช้ประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติ 2.จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ 3.การเสริมสร้างและการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เนื่องจากเกษตรกรเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยืนยันว่าจะเพิ่มรายได้ให้ประชาชนเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปี ในการเป็น และนโยบายของพรรคจะเน้นคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้นมากกว่าการหยุดมองความแตกต่างในเรื่องของสีเสื้อ เพราะความเป็นพลเมืองของคนไทยไม่ใช่อยู่ที่สีเสื้อ แต่อยู่ที่ความร่วมมือกันในการเป็นหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อสร้างความปรองดองในการสร้างเศรษฐกิจ และรายได้ นอกจากนี้พรรคได้มีแผนงานที่จะทำแหล่งน้ำ 1.7 ล้านล้านบาททั่วประเทศ
ขณะที่ นายเกษมสันต์กล่าวว่า เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับความปรองดองภายในประเทศเป็นหลัก หากปรองดองได้การสร้างเศรษฐกิจจากนี้ไปไทยก็จะกลายเป็นประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจในอาเซียน ซึ่งไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่เราต้องเตรีมตัวให้พร้อม ซึ่งการใช้งบประมาณกว่า 5 ล้านล้านบาท คงหาไม่ได้ทันที แต่ต้องอยู่การปรับปรุงทุกอย่างให้เป็นระบบสร้างเศรษฐกิจเพิ่มรายได้ เงินในกระเป๋าประชาชน ซึ่งในวันที่ 18 พ.ค.จะมีการเปิดนโยบายเศรษฐกิจโดยรวมอีกครั้งหนึ่งด้วย