ปี่กลองเชิดแล้ว สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมาถึง ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ หลังจากหลายฝ่าย หลายคนลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือ
ล่าสุด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี บอกชัดเจนแล้วว่า ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภาไปแล้ว เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ตามสัญญาที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความโล่งใจของใครหลายคนโดยเฉพาะนักการเมือง และนักเลือกตั้งทั้งหลาย ที่ก่อนหน้านี้กลัวโดนเว้นวรรคอาชีพเพราะข่าวปฏิวัติยึดอำนาจสะบัดแรงมาเป็นระลอกๆ
ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองค่ายต่างๆ ยามนี้ จึงดูขมักเขม้นเร่งเครื่องกันเต็มที่เป็นพิเศษ หลังพบจุดสตาร์ทที่ชัดเจน
พรรคเพื่อไทยที่ดูเหมือนจะมีความพร้อมกว่าใคร ก็ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าถี่ยิบ หลังวางตัวผู้สมัครเสร็จสิ้น ก็เดินสายปราศรัย เคาะประตูบ้าน ลุยตลาด ไม่เว้นแต่ละวัน โดยใช้ “นายใหญ่” พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบคดีอาญาอยู่เมืองดูไบ เป็นหัวหอกกรุยทาง ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ Skype ไปทุกเวที ก่อนให้แกนนำและ ส.ส. นำนโยบายที่ออกมาเป็นล็อตๆ ไปขยายผล เจาะคะแนนเสียงให้มากที่สุด
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งไม่น้อยหน้า วางตัวผู้สมัครกันแข็งขัน เข็นนโยบายออกมาหลายชุด แต่ดูไปดูมา มันช่างคล้ายกับของพรรคเพื่อไทยอย่างแยกไม่ออก ก็ไม่รู้ว่าใครลอกใครกันแน่ ประเด็นนี้ก็เป็นที่ถกเถียงถึงขั้นจะ ฟาดปากกัน ทั้งที่ยังไม่ได้ลงสนามด้วยซ้ำ
การเลือกตั้งครั้งนี้มีเดิมพันที่สูง การต่อสู้จึงดุเดือดเลือดพล่านตั้งแต่ยังไม่เริ่มอย่างที่เห็น
เมื่อมองไปที่พรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็มีการขยับตัวเคลื่อนไหวคึกคัก มีข่าวการดูดตัว ซื้อตัว ไม่เว้นแต่ละวัน บางพรรคถึงขนาดควบรวมให้มีความแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นเพื่อต่อกรกับพรรคการเมืองใหญ่ๆ ในสนามเลือกตั้ง หวังแชร์ตลาดพื้นที่ ส.ส.ให้ได้เป็นกอบเป็นกำ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองในการร่วมเป็นพรรครัฐบาลครั้งหน้า
การเลือกตั้งที่จะถึงนี้หลายคนเชื่อเหลือเกินว่า จะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่มีการใช้ยุทธปัจจัยกระสุนดินดำครั้งมโหฬาร อาจมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย เพราะต่างฝ่ายต่างแพ้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
พรรคเพื่อไทย หรือ ขั้วอำนาจสีแดง ปฏิปักษ์ฝ่ายถืออำนาจประเทศไทยยามนี้ ที่มีพ.ต.ท. ทักษิณ เป็น “คอนดรั๊กเตอร์” อาจจำเป็นที่จะต้องทุ่มสุดตัว ควักสุดกระเป๋าวางเดิมพันครั้งสุดท้าย หาช่องทางให้ตัวเองกลับบ้านเกิดตัวเองให้ได้ แม้ก่อนหน้านี้ ท่อน้ำเลี้ยงจะดูติดขัด ส.ส.ในค่ายออกมาบ่นเป็น หมีกินผึ้ง แต่อาจมีท่อน้ำเลี้ยงสายใหญ่ไหลมาช่วงโค้งสุดท้าย เป็นมิสชั่นอิมพอสซิเบิ้ลก็เป็นได้
เมื่อหันไปดูฟากรัฐบาล ก็มีการระดมเสบียงกรัง ขนานใหญ่ ล่าสุดที่คนนินทาทั้งเมือง คือการอนุมัติ อภิมหาโครงการจิปาถะ ในการประชุมครม. อย่างเป็นทางการแม็ตช์สุดท้าย เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ลากยาวตั้งแต่เช้า จนสองยามยังไม่จบ โครงการนับร้อย ผ่านการพิจารณาแบบสายฟ้าแลบ ภายในวันเดียว
จึงถูกตั้งคำถามหนักว่า เป็นการอนุมัติงบทิ้งทวน แจกจ่ายให้แต่ละพรรคการเมืองนำไปหาเสียง ซื้อเสียง สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ และเป็นการอนุมัติเพื่อซื้อใจมัดจำล่วงหน้า พรรคร่วมรัฐบาลเดิมให้กลับมาร่วมหอลงโรง ขี่คอกันอีกครั้งหรือเปล่า
เรื่องทำนองแบบนี้เป็นที่ครหานินทามาตลอด รัฐบาลชุดนี้มีข่าวคราวฉาวโฉ่ ทั้งการทุจริต ซื้อขายตำแหน่ง โยกย้ายจัดวางคนตัวเองรองรับการเลือกตั้ง พยายามออกกฎหมาย กฎเกณฑ์อะไรต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตัวเองในการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
บางเรื่องก็ทำกันแบบหน้าด้านๆ ไม่ฟังเสียงค้าน เสียงท้วงติง เพราะรู้ดีว่ามี “มือที่มองไม่เห็น”หนุนหลังให้ท้าย จึงทำกันแบบย่ามใจ เหมือนคิดว่าประชาชนกินแกลบ กินหญ้า กินรำ ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา สนองแต่อำนาจเบื้องหลังเท่านั้น
สุดท้ายเมื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ต้องไปขอคะแนนจากประชาชน ก็เริ่มออกอาการปากกล้าขาสั่น โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีความมั่นใจเลยว่าประชาชนจะเลือกตัวเองมาเป็นอันดับ 1 จึงออกตัวแบบฝืนวัฒนธรรมการเมืองว่าใครรวบรวมเสียงข้างมากได้ก็มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล
ไม่เคยพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลก่อน
แนวโน้มการเลือกตั้งครั้งนี้ จะต้องห้ำหั่นกันรุนแรง สารพัดวิชามารจะถูกงัดมากันมาสับประยุทธ์กันเลือดท่วมจอแน่ อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าเดิมพันสูงมาก ฝ่ายอำนาจเดิม ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ รวบรวมเสียงกลับมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ไม่ต้องการให้ “ฝ่ายปรปักษ์” กลับมากุมอำนาจประเทศไทยอีกครั้ง เพราะพรรคประชาธิปัตย์เองก็พูดคุยสั่งการได้ง่ายกว่าพรรคเพื่อไทย อีกใจหนึ่งก็หวั่นว่าจะถูกล้างบาง ถอนแค้น หากถูกแย่งอำนาจคืนไป
อีกขั้วอำนาจหนึ่งคือ ฝ่ายพรรคเพื่อไทย โดยพ.ต.ท.ทักษิณมีเดิมพันสูงไม่แพ้กัน เป้าหมายคือการได้เสียงอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล เพื่อพาตัวเองกลับบ้าน ถ้าให้ชัวร์ที่สุดก็ต้องกวาดเก้าอี้ส.ส.ในสภาให้ได้เกินครึ่ง หนทางหวนคืนประเทศจึงจะดูสดใส “ทักษิณ”ดีดลูกคิดทบทวนหลายตลบแล้ว
ถ้าไม่ชนะครั้งนี้ คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
2 พรรคใหญ่ตั้งเป้าเกหมดหน้าตักวัดดวง ในขณะที่พรรคเล็กพรรคกลางต้องดิ้นรนสุดขีดให้ตัวเองมีส.ส.เป็นกอบเป็นกำ การันตีการมีส่วนร่วมในอำนาจ การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งดุเดือดแน่
ดังนั้นจึงเป็นการบ้านข้อสำคัญของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่จะเป็นกรรมการกำกับผู้เล่น และตัดสินชี้ขาด การเลือกตั้งครั้งนี้กกต.จะต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่า
ถ้าหากตัดสินออกมาค้านสายตาคนดู อาจมีเฮ ถึงขั้นโดนรุมประชาทัณฑ์ เช่นเดียวกับกรรมการที่ตัดสินในสนามฟุตบอลบ้านเรา แฟนบอลประเทศไทย ช่าง มีอารมณ์คล้ายคนใส่เสื้อสีต่างๆ ยามนี้จริงๆ ถ้าตัดสินมาไม่พอใจทุกฝ่าย มีหวังจมดินแน่
ยิ่งกกต.ได้รับงบประมาณไปเยอะมากกว่าที่ผ่านๆ มา เดิมเคยได้ 2 พันล้าน งวดนี้รับไป 3 พันกว่าล้าน เกือบ 4 พันล้าน ยิ่งต้องทำงานให้คุ้มเงิน จะเอนเอียง ตกเป็นเครื่องมือฝ่ายใดไม่ได้เด็ดขาด เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวเองแล้ว ยังจะเป็นอันตรายต่อประเทศด้วย
หากไร้ความเที่ยงธรรม ความขัดแย้งรอบใหม่ย่อมปะทุขึ้นแน่ แต่ถ้าตัดสินด้วยความเที่ยงธรรมมีเหตุผลรองรับที่ดีพอ เชื่อว่าทุกคน ทุกฝ่ายจะยอมรับ และจะเป็นก้าวแรกของความสงบร่มเย็นที่คนไทยทุกคนรอคอย