เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
๐๐กลายเป็นเรื่องพิลึกกึกกือขึ้นมาทันใดสำหรับการประชุม “ครม.มาร์ค” ที่บอกว่าเป็น “นัดทิ้งทวน” ก่อนที่จะมีการยุบสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พิจารณากันแบบมือเป็นระวิง มาราธอนตั้งแต่เช้ายันดึกรวดเดียว “206” วาระวงเงินงบประมาณ “กว่าแสนล้านบาท” ก็ต้องบอกว่าขยันกัน “อิ๋บอ๋าย” จริงๆ กลายเป็นว่าเป็นช่วง “นาทีทอง” แจกกันแหลก ไม่ต่างจากการ “ปล่อยผี” เหมือนกับที่พวกพรรคเพื่อไทยได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพจริงๆ แม้มีการแก้ตัวว่าอนุมัติแต่หมื่นกว่าล้านเท่านั้น แต่หากพิจารณาตามความจริงแม้จะเป็นไปตามพวก “ศรีธนญชัย” มันแก้ตัว ก็จริงอยู่ สามารถหลอกต้มได้บางคน แต่สำหรับวาระเพื่อทราบที่มีเป็นร้อยโครงการมันก็เป็นโครงการเก่าที่ “ตั้งแท่น” รอเอาไว้แล้ว รอช่วงชุลมุนแบบนี้แหละ
๐๐สำหรับ 4-5กระทรวงหลัก เช่น กลาโหม มหาดไทย คมนาคม ศึกษาธิการ เกษตรฯ ไอซีที ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ เจ้าเก่ามากันครบถ้วน แต่ที่น่าจับตามมากที่สุดก็จะหนีไม่พ้น กลาโหม มหาดไทย คมนาคม ที่อยู่ในเครือข่าย “เนวินกรุ๊ป” คงยิ้มกันหน้าบาน เพราะคิดคำนวณแล้วว่าในช่วง “ชุลมุน” แบบนี้ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะที่สุด และที่สำคัญในเมื่อ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรีบไปเลือกตั้งมันก็ยิ่ง “หวานหมู” เสนออะไรเข้าไปย่อมไม่มีทางขัดข้องอยู่แล้ว
๐๐สำหรับงบกลาโหมถือว่า “ไม่ธรรมดา” อีกรอบ เพราะสามารถเข็ญ “รถหุ้มเกราะล้อยาง” จากยูเครนออกมาวิ่งได้ฉลุยตามคาด เพราะในยุครัฐบาลมาร์ค มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แค่ “ทหารอ้วน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมขึ้นเสียงผ่าน “รองเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งวงครม.ก็อ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งลนไฟกันเลยทีเดียว และว่ากันว่าสำหรับรถหุ้มเกราะล้อยางที่อนุมัติมาอีกล็อตกว่า 7 พันล้านถือว่าเป็น “มรดกตกทอด” ของ “เสี่ยป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.ที่ผ่านมาโดนวิจารณ์กันแบบสาดเสียเทเสีย ว่ามันไม่คุ้มค่าทั้งในเรื่องสมรรถนะ อะไหล่ “สายการผลิต” ของเครื่องยนต์ว่าที่ยังไม่ค่อยลงตัว มิหนำซ้ำบอกว่าบางส่วนจะแบ่งมาใช้ในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่ปัญหาก็คือว่าสภาพภูมิประเทศมันไม่เหมาะสม เพราะ “ล้อยาง” เมื่อเจอ “ตะปูเรือใบ”ของโจรใต้มันก็ไปไม่เป็นแล้ว
๐๐ จะว่าไปแล้วมันก็มีเรื่องที่ต้องวิจารณ์อยู่เสมอสำหรับการซื้ออาวุธของกองทัพ แม้ว่า “บางเรื่อง” มันจำเป็นในการพัฒนา และปรับปรุงประสิทธิภาพของอาวุธ เพื่อเอาไว้ในการต่อรองกับเพื่อนบ้าน หรือปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ แต่หลายครั้งที่ดูแล้วการซื้ออาวุธมันดูเหมือนคนที่ “ไม่มีสติปัญญา” ยังไงยังงั้นบอกไม่ถูก อย่างเช่น กรณีซื้อเครื่อง “จีที200” หรือแม้แต่ “เรือเหาะพันล้าน” ที่นำไปจอดโชว์อยู่ที่ภาคใต้ไม่เคยนำมาใช้ให้คุ้มค่า หรือใช้การไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องปืนใหญ่ที่ยิงไม่ได้ หรือแม้แต่รถถังเอ็ม 60 ที่ใช้การได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ล่าสุด กองทัพเรือก็กำลังเตรียมเสนอเรื่องในการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” มาดำโชว์ในทะเลน้ำตื้นในอ่าวไทย และอันดามันเสียอีก แทนที่จะเสริมแสนยานุภาพในเรื่องการป้องกันอย่างอื่นน่าจะเข้าท่ากว่า แต่ก็อย่างว่าการซื้อแต่ละครั้งมันมี “ค่าคอมฯ” ที่บรรดาคณะกรรมการจัดซื้อไปจนถึงผู้นำระดับสูงในกองทัพที่มีส่วนพิจารณาอนุมัติมันก็ “ต้องแด๊ก” กันจนอิ่มแปล้นั่นแหละ นี่คือที่มาของ “นาทีทอง” ของการซื้ออาวุธในช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติ ใครที่มีแรงมากก็ย่อม “หักคอ” จะเอาอะไรก็ต้องได้
๐๐ หลังจากมีการหยุดยิงแบบ “กำมะลอ” หรือสร้างภาพสันติภาพให้เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อรองรับการเลือกตั้งของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ว่าทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา ทั้งที่ในความเป็นจริงทหารไทยที่ประจำอยู่ตามฐานที่มั่นที่ตั้งประจันอยู่กับฝ่ายตรงกันข้ามยังไม่มีความปลอดภัย ยังถูกซุ่มยิงตายเจ็บรายวัน มีเพียงผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น ทั้ง ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ “แม่ทัพเยิ้ม” พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ยังปลอดภัยดี และพร่ำบอกให้ “อดทน” อย่าตอบโต้ เพราะเดี๋ยวเขาจะโกรธทีหลังจะเจรจากันลำบาก พิลึกคนจริงๆ
๐๐กลายเป็นว่า ปม “ทนายความ” ของไทยกลายเป็นปริศนา เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า “บัวแก้ว” เตรียมว่าจ้าง “ทนายฝรั่งเศส” มาช่วยแก้ต่างให้ไทยในการสู้คดีศาลโลกรอบใหม่ ทั้งที่พิจารณาจากแบ็กราวด์รอบด้านแล้ว อาจจะ “ไม่เป็นบวก”กับไทย เมื่อเปรียบเทียบกับคู่กรณีคือกัมพูชา ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่รองนายกฯฝ่ายความ (ไม่)มั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ อุบไต๋เอาไว้จนนาทีสุดท้าย เพราะกลัวถูกรุมจวกยับนั่นแหละ
๐๐ทำท่าว่าวันยุบสภาจะต้องเลื่อนออกไปหลังจากวันที่ 6 พ.ค. เนื่องจากศาล รธน.มีกำหนดวันพิจารณา กม.ลูก 3 ฉบับในวันที่ 9 พ.ค.ถึงตอนนั้นก็ได้แต่ลุ้นว่าจะออกมาอย่างไร แต่เชื่อว่าคงไม่มีปัญหาเพียงแต่ว่าอาจต้องช้ากว่ากำหนดการเดิมออกไปอีกสองสามวัน มีเพียง “หนุ่มมาร์ค” เท่านั้นที่ต้องลุ้นตัวโก่ง เพราะอยากเลือกตั้งเต็มแก่แล้ว ทางหนึ่งต้องการหนีปัญหาเอาตัวรอด เพราะปัญหาสุมเอาไว้บานเบอะ ยิ่งอยู่นานไปยิ่ง “เข้าตัว” อีกด้าหนึ่งจะใช้โอกาสนี้ “แสดงพลัง” ของตัวเอง แบบเด็กชอบ “โชว์ออฟ” แบบ “เด็กดื้อ” นั่นแหละ
๐๐ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็ถึงเวลาของกระแส “โหวตโน” หันหลังให้นักการเมืองชั่วทั้งมวลที่คิดจะกลับเข้ามาอีกย่ำยีประเทศกันไม่เลิก เพราะนี่คือสิ่งเสพติดอำนาจ สลัดออกไปเองไม่ได้ นอกจากชาวบ้านเท่านั้นที่จะต้องรวมพลังกันแสดงออกมาให้เห็นมากที่สุด และการที่ผลโหวตผ่านทาง “เว็บเอ็มเอสเอ็น” ประเทศไทยออกมาสนับสนุน “ไม่เลือกใคร” พุ่งสูงเกินร้อยละ 50 แล้วมันก็สะท้อนภาพได้ดี แม้ว่าจะเป็นการสำรวจผ่านเว็บไซต์อาจไม่ใช่กระแสหลัก แต่นั่นย่อมหมายความว่าเป็นการแสดงความรู้สึกออกมาจากภายในของคนไทย และถ้ามีการป่าวประกาศในวงกว้างออกไป เชื่อว่าจะ ต้อง“โดนใจ”แน่ อย่างน้อยก็ทำให้ปชป.ต้องหวั่นไหวและออกมาวิงวอนให้ยุติการรณรงค์ดังกล่าวทันที ทุด !!