เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
00 นาทีนี้คงไม่ต้องมาพูดกันแล้วว่า “เอ็มโอยู 43” ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บูชาทุกเวลาหลังอาหาร “ล้มเหลว” ในระดับใด เพราะแม้แต่เจ้าตัวเอง เวลานี้ก็คงจะเถียงไม่ออกเป็นแน่แท้ แต่ปัญหามีอยู่แค่ว่าจะ “ดันทุรัง” หรือว่าทำเป็น “ดื้อตาใส” ได้อีกนานแค่ไหน จะทนเห็นความล้มเหลวบนความสูญเสียของพี่น้องทหารไทยตามแนวชายแดน พี่น้องชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยของกระสุน “ฮุนเซน” กันอยู่ได้ทุกวันต่อไปได้นานแค่ไหน
00 การขยายแนวรบ แนวปะทะเพิ่มขึ้นเป็นรายวันของฝ่ายกัมพูชาสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของเอ็มโอยู 43 ที่ให้ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดอยู่กับที่แล้วหันหน้ามาเจรจากันแบบ “ทวิภาคี” เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ห้ามสร้างชุมชน สิ่งปลูกสร้างใดๆทั้งสิ้นในพื้นที่ แต่สิ่งที่เห็นเป็นไงบ้างละ “ทั่นนายกฯ” เวลานี้ ฮุนเซน มันเหิมเกริมรายวัน เพิ่มดีกรีสร้างความเดือดร้อน เพื่อหวังให้ประเทศที่ 3 เข้ามาเป็น “กันชน” โดยเมินเจรจาแบบทวิภาคีทุกระดับ
00 ขณะที่ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็กลัวเสียหน้า กลัวเสียฟอร์ม เพราะได้ “คุยโม้” ถึง “ความวิเศษ” ของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตลอดเวลา กลัวว่าถ้ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะมีการ “สืบสาวราวเรื่อง” ไปถึงพรรคพวกด้วยกันเองที่ดันไปทำข้อตกลง “เสียเปรียบ” ทำให้ประเทศเสียศักดิ์ศรี และที่สำคัญจะทำให้ “เสียดินแดน” ในที่สุด
00 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากชี้ให้เห็นถึงความ “ดื้อรั้น” แล้วยังทำให้เห็นว่าเขาคือ “ตัวปัญหา” ก็คือ กรณีที่ออกมาพูดล่าสุดปฏิเสธว่าฝ่ายไทยโดย รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “ไม่ได้ล้มโต๊ะ” เจรจากับกัมพูชา แต่อ้างว่าติดภารกิจไป “เยือนจีน” แต่ไม่ทันขาดคำโฆษกกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ก็สวนกลับไปว่า สาเหตุต้องล้มโต๊ะ เพราะสื่อเขมรบิดเบือนว่า “ไทยยอมแพ้” จึงโร่ไปขอเจรจา ดังนั้นจึงไม่ต้องคุยกันอีก แต่ถ้าอยากคุยก็ต้องหยุดยิง
00 สรุปความหมายของ “มาร์ค” ก็ยังกอดเอ็มโอยู 43 จนถึงที่สุด ยัง “เพ้อเจ้อ” ว่า ฮุนเซนจะพูดคุยแบบทวิภาคีกันอีก ทั้งที่เวลานี้ฝ่ายโน้นกำลังทำทุกอย่างเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ “เลวร้าย” ลงไปทุกวัน เพื่อให้นานาชาติเข้ามาแทรกแซง ดังนั้นมีทางเดียวที่รัฐบาลไทยต้องทำเวลานี้ก็คือ “ฉีกเอ็มโอยู 43” ทันที เพราะไร้ความหมาย ถูกละเมิด ถูกฮุนเซนนำมา “เช็ดก้น” เย้ยรายวันแล้ว
00 พูดถึง การเยือนจีนของ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร คราวนี้มันก็มีนัยสำคัญมองได้หลายอย่างเหมือนกัน ในด้านยุทธศาสตร์ภูมิภาคก็ย่อมถือว่า จีนมี “อิทธิพล” มากที่สุดเวลานี้ ทั้งกับกัมพูชาเพราะมีผลประโยชน์ และให้ความช่วยเหลือทางทหารกับฮุนเซนมากที่สุด ขณะเดียวกันยังสามารถข่มขวัญเวียดนาม “ลูกพี่ใหญ่” ตัวจริงของฮุนเซนอีกด้วย และที่สำคัญ จีน กับเวียดนามนั้น เขม่นกันมาก่อน จนบัดนี้ยังไม่ไว้วางใจต่อกัน
00 เมื่อหันมามองทางฝั่งไทยก็ถือว่าใกล้ชิดอย่างยิ่งกับจีน และถ้าเทียบกันในเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าตัวเลขของไทยย่อมมากกว่าเขมรหลายเท่า เอาแค่ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อนอย่างเช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง จีนยังเลือกเส้นทาง “ตัดผ่านลาว” มาไทย แทนที่จะเลือก มาเวียดนาม แล้วทะลุลาว-เขมรแล้วมาไทย ก็เพราะ “รอยร้าว” จาก “สงครามสั่งสอน” เมื่อปี 2522 ในอดีตนั่นแหละ ซึ่งล่าสุดเวียดนามก็หันไป “ใช้บริการญี่ปุ่น”เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถ้าให้เดาแบบไม่มีข้อมูลในมือ ก็ต้องบอกว่าการไปเยือนจีนของ “ทหารอ้วน” พล.อ.ประวิตร เที่ยวนี้น่าจะ “มีความหมาย” ส่วนจะ “ย่ำรอยเดิม” เมื่อปี 2522 หรือไม่ “บอกใบ้” ไว้แค่นี้ก่อน แต่ชวนติดตาม “อย่ากระพริบตา” เป็นอันขาด !!
00 ตบท้ายแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ “ไร้เอกภาพ” ไร้ภาวะผู้นำของ นายกฯอภิสิทธิ์ อีกเรื่องหนึ่งก็คือก็คือมาตรการตอบโต้กับฝ่ายกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปิดด่าน การยุติความช่วยเหลือ สินค้ายุทธปัจจัย ก็ทำแบบกล้าๆกลัวๆ “ไม่เด็ดขาด” สักอย่าง รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ จะเอาอย่าง แต่ รองนายกฯด้านความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็จะเอาอีกอย่าง เห็นแล้ววังเวงสิ้นดี !!