ครม.ถกลับสุดยอดแก้ปมขัดแย้งกัมพูชา วางเกมสู้คดีศาลโลก ทั้งแนวทาง แนวเขต พิกัด แผนที่ พร้อมเล็งแต่งตั้งต่างชาติร่วมทีมสู้คดี ด้าน “ประวิตร” กร้าวอินโดฯต้องเคลียร์ผลักดันเขมรพ้นแผ่นดินไทยก่อน ถึงจะไฟเขียวคณะผู้สังเกตการณ์เข้าพื้นที่
เมื่อวันที่ 4 พ.ค.54 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในกาประชุม ครม.ครั้งสุดท้ายก่อนการประกาศยุบสภาวานนี้ต่อเนื่องถึงรุ่งเช้าวันที่ 4 พ.ค. โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น ปรากฏว่าในช่วงท้ายของการประชุมช่วงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 4 พ.ค. ครม.ได้ใช้เวลาประชุมลับนานกว่า 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ได้เชิญข้าราชการและผู้ไม่เกี่ยวข้องออกหมด เหลือเฉพาะครม. หารือเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งเรื่องข้อกำหนดกรอบการดำเนินการของคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย โดยนายกฯ ได้สั่งการขอเน้นย้ำเสียงเข้มว่า ครั้งนี้ตนขอจริงๆ ไม่ให้ทุกคนนำเรื่องที่หารือกันไปพูด ซึ่ง ครม.ได้มีข้อสรุปท่าทีของไทยว่าจะต้องมีการยื่นเงื่อนไขให้ทางอินโดนีเซียในฐานะที่จะเข้ามาเป็นผู้ประสานงานไปผลักดันให้กัมพูชาดำเนินการถอนกำลังทหารของฝ่ายกัมพูชา รวมทั้งประชาชนชาวกัมพูชา หรือแม้กระทั่งจะแฝงอยู่ในรูปพระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ในวัด ในพื้นที่ข้อพิพาท ออกไปเสียก่อน จึงจะยอมให้คณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตุการณ์ได้
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม ไทยคงอนุมัติให้คณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ไม่ได้ ถ้าไม่จัดการให้เรียกร้อยก่อน โดยทั้งทหารกัมพูชา ประชาชนชาวกัมพูชา ต้องพ้นไปจากแผ่นดินไทยก่อน แม้แต่พระสงฆ์ชาวกัมพูชาก็ต้องออกไปจากวัดเสียก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมครม.ในวาระหารือลับ ยังได้หารือเรื่องการตั้งคณะที่ปรึกษากฎหมายเพื่อต่อสู้ในศาลโลกกรณีข้อ พิพาทไทย-กัมพูชา โดยมีการเสนอแต่งตั้งชาวต่างชาติ เพื่อร่วมเป็นทีมที่ปรึกษากฎหมายต่อสู้คดีต่อศาลโลก ซึ่ง ครม.ได้หารือกันในรายละเอียดทั้งแนวทาง รวมถึงแนวเขต พิกัด และแผนที่ที่จะใช้ในการต่อสู้คดี จึงมีการสั่งกำชับห้ามเปิดเผยรายละเอียดในการหารือ เนื่องจากเกรงจะกระทบต่อแนวทางการต่อสู้คดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงถึงขั้นอาจทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนได้ โดยนายกฯได้สั่งการเน้นย้ำเสียงเข้มว่า “ครั้งนี้ผมขอจริงๆ ไม่ให้ทุกคนนำเรื่องที่หารือกันไปพูด”
