เก็บตัวหายเงียบไปนาน ตั้งแต่พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และผู้แทนการค้าไทยในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่ค่อยมีใครได้ข่าวความเคลื่อนไหวของ
กรพจน์ อัศวินวิจิตร อดีต รมช.พาณิชย์ สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย หรือชวน 2 ที่ได้เป็นรัฐมนตรีในโควต้าพรรคชาติพัฒนา
ล่าสุด “กรพจน์” ก็กลับมาจับมือกับคนกันเอง สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในฐานะศิษย์เก่าพรรคชาติพัฒนาด้วยกันเอง อาสารับบทบาทหัวหน้าทีมเศรษฐกิจให้กับสุวัจน์กับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรวมชาติพัฒนา ที่กำลังจะยุบรวมกับเพื่อแผ่นดินของ 3 พิษ หรือ 3 พี เป็นพรรค “รวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” หลัง 6 พ.ค.54 นี้
“กรพจน์” มีความคุ้นเคยอันดีกับสุวัจน์ และนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รม.พลังงานและหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา รวมถึงไม่ใช่คนแปลกหน้ากับ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และไพโรจน์ สุวรรณฉวี สองแกนนำเพื่อแผ่นดิน เพราะสองคนนี้ก็คือศิษย์เก่าชาติพัฒนา
เป็นเวลาหลายสิบปีที่กรพจน์สนิทสนมรู้ใจทำงานการเมืองร่วมกับสุวัจน์-วรรณรัตน์-ไพโรจน์-ปรีชา เหตุเพราะกรพจน์ ถือเป็นนายทุนคนหนึ่งที่อยู่กับพรรคชาติพัฒนาตั้งแต่ยุค “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อตั้งพรรคชาติพัฒนา
การกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งของ “กรพจน์” ในค่ายรวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ถูกมองว่าเป็นการเติมเต็มให้กับพรรคนี้ ซึ่งดูแล้วคนของพรรคไม่ว่าจะที่อยู่ในรวมชาติพัฒนาหรือเพื่อแผ่นดิน ล้วนไม่มีใครขายได้ในเรื่องความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ ทั้งตัว นพ.วรรณรัตน์ รมว.พลังงาน หรือชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าเพื่อแผ่นดิน-อดีตรมว.อุตสาหกรรมและระนองรักษ์ สุวรรณฉวี อดีต รมว.ไอซีที ที่คนวงการอุตสาหกรรม-ไอทีส่ายหน้าไม่เอาด้วย
ด้วยเหตุนี้ การดึง “กรพจน์” มาตั้งโชว์ไว้หน้าพรรครวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ทางสุวัจน์ และ 3 พี ที่นำโดย พินิจ จารุสมบัติ คงหวังว่าจะทำให้พรรคมีจุดขายเรื่องเศรษฐกิจแข่งขันกับพรรคอื่นบ้าง
เพราะคิดว่า “กรพจน์” ที่มีดีกรีเศรษฐกิจคือ อดีต ผอ.ธนาคารออมสิน-อดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลไทยรักไทย น่าจะมีเครดิตความน่าเชื่อถือได้ประมาณหนึ่ง แถมในวันเปิดตัวก็ยังมีทีมงานมาร่วมด้วยคือ ภิรมย์ จั่นถาวร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็น่าจะทำให้พรรคดูดีขึ้น ไม่ขี้เหร่เกินไป
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ “สุวัจน์ และ 3 พิษ” หวังไว้ก็คือ “กรพจน์” ที่ถือว่าเป็นอดีตกลุ่มทุนคนหนึ่งสมัยอยู่กับ “น้าชาติ” น่าจะเข้ามาช่วยเหลือพรรคด้านเงินทุนได้ แม้วันนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า “กรพจน์” ที่ถือเป็นพวกเศรษฐีเก่าจะอู้ฟู้เหมือนเดิมหรือไม่
หลังจากที่ก่อนหน้านี้คนในวงการธุรกิจการเงินการธนาคารรู้กันดีว่าตระกูลอัศวินวิจิตร เป็นหนึ่งใน 3 ตระกูลใหญ่ถือหุ้น “ธนาคารสหธนาคาร” ร่วมกับตระกูลเพ็ญชาติ และตระกูลชลวิจารณ์
ก่อนที่สุดท้ายแบงค์สหธนาคารจะล้มหายตายหายไปจากวงการ เพราะต้องปิดกิจการจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจและวิกฤตการเงินเมื่อปี 2541 เหมือนกับอีกหลายธนาคารที่หายไปพร้อมๆ กันเช่นแบงค์ศรีนคร แบงค์แหลมทอง เป็นต้น
การคัมแบ็กครั้งนี้ “กรพจน์” เปิดตัวพร้อมกับชูนโยบาย “สังคมมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง เศรษฐกิจยั่งยืน”เช่นการช่วยเหลือเกษตรกรและคนรากหญ้าด้วยการพัก ลด ปลดหนี้-ให้ทุนการศึกษากับประชาชนได้เรียนต่อจนจบปริญญาเอก-ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนและท่องเที่ยว
ถามว่ามีอะไรใหม่ก็ตอบว่าไม่มี นโยบายแบบนี้เขาเรียกว่าเป็นความคิดนักการเมืองชั้นประถม ดังนั้น “กรพจน์” คงต้องทำงานหนักกว่านี้ หากจะสู้กับเพื่อไทยและประชาธิปัตย์
กรพจน์ อัศวินวิจิตร อดีต รมช.พาณิชย์ สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย หรือชวน 2 ที่ได้เป็นรัฐมนตรีในโควต้าพรรคชาติพัฒนา
ล่าสุด “กรพจน์” ก็กลับมาจับมือกับคนกันเอง สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในฐานะศิษย์เก่าพรรคชาติพัฒนาด้วยกันเอง อาสารับบทบาทหัวหน้าทีมเศรษฐกิจให้กับสุวัจน์กับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรวมชาติพัฒนา ที่กำลังจะยุบรวมกับเพื่อแผ่นดินของ 3 พิษ หรือ 3 พี เป็นพรรค “รวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” หลัง 6 พ.ค.54 นี้
“กรพจน์” มีความคุ้นเคยอันดีกับสุวัจน์ และนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รม.พลังงานและหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา รวมถึงไม่ใช่คนแปลกหน้ากับ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และไพโรจน์ สุวรรณฉวี สองแกนนำเพื่อแผ่นดิน เพราะสองคนนี้ก็คือศิษย์เก่าชาติพัฒนา
เป็นเวลาหลายสิบปีที่กรพจน์สนิทสนมรู้ใจทำงานการเมืองร่วมกับสุวัจน์-วรรณรัตน์-ไพโรจน์-ปรีชา เหตุเพราะกรพจน์ ถือเป็นนายทุนคนหนึ่งที่อยู่กับพรรคชาติพัฒนาตั้งแต่ยุค “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อตั้งพรรคชาติพัฒนา
การกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งของ “กรพจน์” ในค่ายรวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ถูกมองว่าเป็นการเติมเต็มให้กับพรรคนี้ ซึ่งดูแล้วคนของพรรคไม่ว่าจะที่อยู่ในรวมชาติพัฒนาหรือเพื่อแผ่นดิน ล้วนไม่มีใครขายได้ในเรื่องความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ ทั้งตัว นพ.วรรณรัตน์ รมว.พลังงาน หรือชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าเพื่อแผ่นดิน-อดีตรมว.อุตสาหกรรมและระนองรักษ์ สุวรรณฉวี อดีต รมว.ไอซีที ที่คนวงการอุตสาหกรรม-ไอทีส่ายหน้าไม่เอาด้วย
ด้วยเหตุนี้ การดึง “กรพจน์” มาตั้งโชว์ไว้หน้าพรรครวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ทางสุวัจน์ และ 3 พี ที่นำโดย พินิจ จารุสมบัติ คงหวังว่าจะทำให้พรรคมีจุดขายเรื่องเศรษฐกิจแข่งขันกับพรรคอื่นบ้าง
เพราะคิดว่า “กรพจน์” ที่มีดีกรีเศรษฐกิจคือ อดีต ผอ.ธนาคารออมสิน-อดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลไทยรักไทย น่าจะมีเครดิตความน่าเชื่อถือได้ประมาณหนึ่ง แถมในวันเปิดตัวก็ยังมีทีมงานมาร่วมด้วยคือ ภิรมย์ จั่นถาวร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็น่าจะทำให้พรรคดูดีขึ้น ไม่ขี้เหร่เกินไป
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ “สุวัจน์ และ 3 พิษ” หวังไว้ก็คือ “กรพจน์” ที่ถือว่าเป็นอดีตกลุ่มทุนคนหนึ่งสมัยอยู่กับ “น้าชาติ” น่าจะเข้ามาช่วยเหลือพรรคด้านเงินทุนได้ แม้วันนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า “กรพจน์” ที่ถือเป็นพวกเศรษฐีเก่าจะอู้ฟู้เหมือนเดิมหรือไม่
หลังจากที่ก่อนหน้านี้คนในวงการธุรกิจการเงินการธนาคารรู้กันดีว่าตระกูลอัศวินวิจิตร เป็นหนึ่งใน 3 ตระกูลใหญ่ถือหุ้น “ธนาคารสหธนาคาร” ร่วมกับตระกูลเพ็ญชาติ และตระกูลชลวิจารณ์
ก่อนที่สุดท้ายแบงค์สหธนาคารจะล้มหายตายหายไปจากวงการ เพราะต้องปิดกิจการจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจและวิกฤตการเงินเมื่อปี 2541 เหมือนกับอีกหลายธนาคารที่หายไปพร้อมๆ กันเช่นแบงค์ศรีนคร แบงค์แหลมทอง เป็นต้น
การคัมแบ็กครั้งนี้ “กรพจน์” เปิดตัวพร้อมกับชูนโยบาย “สังคมมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง เศรษฐกิจยั่งยืน”เช่นการช่วยเหลือเกษตรกรและคนรากหญ้าด้วยการพัก ลด ปลดหนี้-ให้ทุนการศึกษากับประชาชนได้เรียนต่อจนจบปริญญาเอก-ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนและท่องเที่ยว
ถามว่ามีอะไรใหม่ก็ตอบว่าไม่มี นโยบายแบบนี้เขาเรียกว่าเป็นความคิดนักการเมืองชั้นประถม ดังนั้น “กรพจน์” คงต้องทำงานหนักกว่านี้ หากจะสู้กับเพื่อไทยและประชาธิปัตย์