“ประยุทธ์” ลั่นทหารไทยไม่แพ้ใคร ปัดถอยร่นให้เขมร ยิงมาก็ถล่มกลับ พร้อมบุกยึดถ้ารัฐบาลสั่ง เผยที่ไม่รุกเข้าไปเพราะติดพันธสัญญา รอประชุมแบบทวิภาคี แต่ถ้าไม่ยอมคุยด้วยก็ต้องรบกัน ย้ำไม่ให้ประเทศที่ 3 เข้าแทรกแซงในพื้นที่ แต่หากจำเป็นจริงๆ ทหารเขมรต้องถอนออกจากปราสาทพระวิหาร ขณะที่โฆษก ทอ.ยันส่งเอฟ-16 ขึ้นซ้อม ไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชาและไม่ได้ปฏิบัติการยั่วยุ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (25 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวถึงสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า กำลังทหารอยู่ในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์กระทบกระทั่ง และรักษาอธิปไตยตามแนวเส้นเขตแดนที่ได้กำหนดไว้ชัดเจน ไม่ได้ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ดังนั้น อย่าไปพูด และลือว่าทหารไทยตั้งรับและถอยไปเรื่อยๆ ทหารไทยไม่เคยถอยอยู่แล้ว ที่ทหารไทยไปอยู่นั้นตามพันธสัญญาและกติกาที่มีอยู่ ถ้าจะยกเลิกสัญญาก็ว่ากัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังพูดคุยเจรจากันในเรื่องการประชุมทวิภาคีให้ได้เสียก่อน ถ้าจะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดรัฐบาลก็หารือมา เราพร้อมจะให้ความเห็นในการแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมทหารจึงไม่ใช้ยุทธการในเชิงรุกบ้าง มีแต่ตั้งรับ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะให้รุกไปไหน จะให้รุกออกไปนอกประเทศหรือ ถ้ารัฐบาลสั่งมาตนจะเข้าตีให้ รัฐบาลจะสั่งได้หรือไม่ได้ต้องดูว่า เราอยู่ในสัญญาทวิภาคีหรือไม่ การจะทำอะไรก็ตามตนรู้ดีว่า ทุกคนใจร้อนอยากจะให้เป็นอย่างที่ต้องการ วันนี้ความเห็นตนก็ไม่ต่างจากทุกคน เราอยากทำให้เรียบร้อย ดังนั้น ต้องดูให้ดีว่าการกระทำอะไรต่างๆ จะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นหรือไม่ เรื่องรบกันไม่ยากหรอก ตนยืนยันว่าถ้าสั่งวันนี้ พรุ่งนี้ตนก็ต้องยึดให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลอ่อนข้อมากเกินไปหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ได้อ่อน แต่เราต้องดูกติกาสัญญา ถ้าจะยกเลิกก็ต้องยกเลิกทั้ง 2 ฝ่าย ให้ ครม.ไปว่ากันมา เมื่อไม่มีการรักษาสัญญาเขายิงมาเราก็ตอบโต้ไป เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้มากกว่านี้ เรายิงมากกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า ก็ต้องตอบโต้ไปจนกว่าเขาจะหยุด ถ้าเขายิงมาเราตอบโต้ไปแล้วเขายังไม่หยุดก็ต้องยิงมากกว่าเดิม ที่ผ่านมาก็ปฏิบัติอย่างนั้นมาโดยตลอดจนทำให้เข้าหยุดการยิง
“ถ้าจะเอากำลังเข้าไปยึดก็หมายความว่าจะต้องรบกันทั้ง 2 ประเทศ ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศไทยต้องช่วยกันรบ”
ส่วนผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศที่จะเข้ามาพื้นที่นั้น ทหารยืนยันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีคำว่ายืนยัน แต่ทุกฝ่ายทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ประเทศที่ 3 เข้ามาสังเกตการณ์ แต่ถ้าหากจำเป็นเราได้ยื่นกติกาไปแล้วว่าจะต้องเอาทหารลงจากเขาพระวิหารทั้งหมด ซึ่งได้มีการเสนอเงื่อนไขไปอยู่ที่กระทรวงการต่างเทศ จะต้องเห็นชอบร่วมกันกับเหล่าทัพ
ส่วนที่ รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซียได้ยกเลิกการเดินทางเพื่อเข้ามาประชุมเกี่ยวกับผู้สังเกตการณ์ เพราะทหารไม่เอาด้วยใช่หรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เห็นว่ากำลังรอข้อมูลเพิ่มเติม ตนบอกแล้วว่ามี 2 ประเด็น คือ ถ้าไม่จำเป็นก็จะพูดคุยกัน 2 ประเทศ ซึ่งเรายืนยันอย่างนี้มาโดยตลอด และไม่อยากให้ประเทศที่ 3 เข้ามา น่าจะพูดคุยกัน เพราะเรามีชายแดนติดกัน แต่ถ้ามีความจำเป็น มีการรบกันและเป็นเรื่องขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพราะวันนี้ไม่ใช่ว่าเรารบกัน 2 ประเทศแล้ว คนอื่นไม่เกี่ยว จะเห็นว่า ทั่วโลกวุ่นวายไปหมด ยูเอ็นก็เข้ามา ต่างประเทศก็เข้ามา ถ้ามีการรบกัน แต่วันนี้ตนถือว่ายังไม่มีการรบระหว่างประเทศ เป็นเพียงการกระทบกระทั่งกันเฉพาะจุด และจำกัดพื้นที่การรบให้ได้ แต่ถ้าเหตุการณ์ลุกลามบานปลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ คนไทยทุกคนก็ต้องไปช่วยรบกัน ทหารก็พร้อมรบให้เพื่อรักษาอธิปไตย ทั้งประเทศก็จะเดือดร้อนไปหมด แต่ไม่เป็นไร ถ้าคิดว่าถึงเวลาจำเป็นที่ควรจะรบก็รบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กองทัพมองว่าเรื่องนี้มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาทำเพื่ออะไร เพื่อต้องการยกระดับและให้มีประเทศอื่นเข้ามาตัดสิน แต่ตนว่ามันไม่จำเป็น แต่ถ้ามันจำเป็นก็อย่างที่บอก คือ อย่าละเมิดกติกาที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็น เขาพระวิหาร วัด และชุมชนจะต้องไม่มีทหารกัมพูชาอยู่ ถ้ายังมีทหารกัมพูชาอยู่ก็ต้องไม่มีผู้สังเกตการณ์ ขณะนี้ปัญหาอยู่ที่เราจะตอบสังคมโลกอย่างไร ในที่สุดก็ต้องกลับมาสู่การเจรจาของ 2 ประเทศร่วมกัน
“ถ้าเราพูดคุยกันไม่ได้โดยมีประเทศที่ 3 เข้ามาร่วมเจรจา ก็จะต้องไม่มีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่และพื้นที่ที่มีปัญหา ต้องถอยหลังออกไปหมดแล้วจะมาพูดกันใหม่ ทั้งนี้ เห็นว่าไม่มีใครเห็นด้วยอยู่แล้วที่จะให้กำลังทหารประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามา”
ส่วนถ้ากัมพูชายังไม่ยอมเจรจาสถานการณ์ ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเสียงแข็งว่า ถ้าไม่ยอมก็ไม่ยอม ก็ไม่ต้องคุย แล้วทำไมต้องคุย ถ้าเขาไม่คุยแล้วเราจะคุยกับใคร อย่างไรก็ตามเรามีการเจรจาในระดับบน เมื่อมีการคุยกันแล้วก็ยังมีการยิงกันอยู่ เมื่อยิงมาก็ยิงไป การจะรบหรือไม่รบขึ้นอยู่กับรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ จะเปิดสงครามจะต้องมี ครม.ประกาศสงคราม ขณะนี้ยังไม่ประกาศสงคราม เป็นเพียงการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดน
ดังนั้น เราพยายามไม่มุ่งไปสู่สงครามระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่ากล้าหรือไม่กล้า กลัวหรือไม่กลัว ไม่ใช่ตั้งรับจนเกินไป วันนี้กำลังทหารไทยจ่อชายแดนไทยทุกวัน ทั้ง 2 ฝ่ายยังเผชิญหน้ากันอยู่ในเขตแดนของตนเอง ห่างกัน 100 เมตร ถ้าจะรุกก็ต้องรบกัน ตีกันหงายท้องลงไป วันนี้ถือว่าเป็นการกระทบกระทั่งกันและอันตราย ไม่รู้ว่ากระสุนที่ยิงมาตกตรงไหน ต้องดูแลกำลังพลและชาวบ้านให้อยู่ในที่ปลอดภัย
“ผมอยากให้ช่วยกันสื่อออกไปยังประชาชนโดยรวม ว่า เราไม่ได้แพ้ใคร เราไม่ได้ถอยไปที่ไหน ยังอยู่ในที่เดิมทุกประการเว้นในพื้นที่ที่มีปัญหาที่จะต้องมีการพูดคุยในระดับทวิภาคี ถ้าพูดไม่ได้ก็ไปตกลงกันมา แต่ถ้าจะเอาประเทศใดเข้ามาดูแลก็ต้องถอนกำลังออกไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ขณะที่ พล.อ.ต.มณฑล สัชฌุกร โฆษกกองทัพอากาศ ยืนยันว่าการนำเครื่องบิน เอฟ-16 ขึ้นฝึกซ้อม ไม่ได้เป็นการรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา และยืนยันว่าจะไม่มีการปฏิบัติการที่เป็นการยั่วยุ