แกนนำพันธมิตรฯ ชี้กระแสโหวตโนร้อนแรง เพราะการมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง เย้ยวาทะไม่เลือกเราเขามาแน่ ใช้ไม่ได้กับผู้มีอุดมการณ์ ถึงเลือกไปอัปรีย์ไปจัญไรก็มาอยู่ดี ด้าน “เทพมนตรี” ชื่นชม “สุวิทย์” ที่ตัดสินใจลาออกจากหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจามรดกโลก เพราะเคยถูกบังคับให้ไปรับร่างประนีประนอม 3 ฝ่าย เมื่อปีที่แล้วที่บราซิล
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” การเสวนา “พรรคการเมืองใหม่กับการรณรงค์โหวตโน”
วันนี้ (19 เม.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวบนเวทีเสวนาราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน กรณีการเดินสายรณรงค์เพื่อให้ประชาชนร่วมใจกันใช้สิทธิไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกตั้ง หรือโหวตโน ในพื้นที่ 2 จังหวัด ขอนแก่น-อุดรธานี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีประชาชนมาร่วมฟังการอภิปรายกันอย่างคับคั่ง เพราะหากพลังประชาชนร่วมใจกันไม่รับผลการเลือกตั้ง นั่นหมายถึงว่า ชัยชนะของประชาชนที่ต้องสั่งสอนนักการเมืองชั่ว และพร้อมใจที่ต้องการเห็นการปฏิรูปทางการเมือง
“ไม่เลือกเราเขามาแน่ ที่นักการเมืองรุ่นใหม่นำมาใช้เป็นวาทะในการหาเสียง จึงใช้ไม่ได้กับการตื่นตัวทางการเมืองของภาคประชาชน ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ว่า ไม่เอาทั้งอัปรีย์และจัญไร วันนี้รัฐบาลกำลังกลัวกระแสโหวตโนที่กำลังร้อนแรง เพราะไม่ว่าพรรคไหนจะขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล การเมืองก็ย่ำอยู่กับที่” นายสมเกียรติกล่าว
ด้าน นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงกรณีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ประกาศถอนตัวจากเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาคณะกรรมการมรดกโลก เนื่องจากความคิดเห็นแตกต่างจากกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าสาเหตุของการลาออกที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ตนต้องการไปทำงานเลือกตั้งนั้น ไม่เป็นความจริง และนายอภิสิทธิ์พยายามจะซื้อเวลาด้วยการเจรจาลับหลังกับนายสุวิทย์ โดยระบุว่าปัญหาทุกอย่างจะจบในวันพรุ่งนี้ ล้วนเป็นเกมของนายอภิสิทธิ์ที่พยายามใช้เวลาต่อรอง ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาล ไม่ต่างจากยุคนายชวน หลีกภัย ที่มักอ้างว่ายังไม่ได้รับรายงาน
นายเทพมนตรีกล่าวว่า สาเหตุที่นายสุวิทย์ประกาศลาออกเพราะอึดอัดใจกับการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อครั้งไปเป็นตัวแทนในการเจรจาประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เมื่อวันที่ 29 ก.ค.53 ที่ประเทศบราซิลนั้น เนื่องจากนายสุวิทย์เห็นว่า ในเวลานั้นคณะกรรมการมรดกโลกเตรียมที่จะอนุมัติปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว และเสนอให้ถอนตัวออกจากการเป็นภาคีมรดกโลก แต่ในที่สุดนายกฯ ได้สั่งการให้คุณสุวิทย์ ลงนามในร่างประนีประนอม 3 ฝ่าย ระหว่างไทย กัมพูชา และคณะกรรมการมรดกโลก ทำให้มีผลผูกพันมาถึงทุกวันนี้ วันนี้นายสุวิทย์จึงไม่ขอร่วมสังฆกรรมด้วย