xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อนักการเมือง “ห่วยแตก” ชาวบ้านก็มีสิทธิ “โหวตโน” ดัดสันดาน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

หลังเทศกาลหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ การเมืองไทยก็เริ่มกลับมาร้อนแรงและเข้มข้นอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะเริ่มนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาจากกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งจำนวน 3 ฉบับกำลังจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้ขั้นตอนจากนี้ไปก็จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะมาถึงในราวปลายในเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคมตามที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เคยแย้มเอาไว้ก่อนหน้านี้

ส่วนการยุบสภานั้นมาถึงนาทีนี้ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นไปตามกำหนดเดิมนั่นคือ สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม จากนั้นก็เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเต็มตัว โดยไม่มีใครมาหยุดยั้งได้

แม้ว่าการสร้างบรรยากาศการเลือกตั้งในครั้งนี้มี “วาระซ่อนเร้น” เป็นเกมการเมืองของนายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ที่ “เอาตัวรอด” ต้องการ “บล็อก” ป้องกันไม่ให้เกิด “อุบัติเหตุ” เพื่อทำลายโอกาสทางการเมืองของตัวเอง รวมไปถึงการสกัดแผนป่วนเมืองซ้ำรอบสามของ “เครือข่ายทักษิณ” ที่มาในหลายรูปแบบทั้งคนเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภาที่กำลังก่อหวอดในขณะนั้นอยู่ก็ตาม

ดังนั้น เมื่อทุกอย่างกำลังเดินไปแบบนี้มันก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป เพราะการไปขัดขวางไม่ให้มีเลือกตั้ง มันก็เสี่ยงกับการ “ทำบาป” อะไรประมาณนั้น

อย่างไรก็ดี เมื่อตั้งสติหันกลับมาพิจารณาหน้าตาของนักการเมืองที่ “เสนอหน้า” เข้ามาให้เลือกเข้าไปเป็นตัวแทนอำนาจในสภาแล้ว แต่ละคนแล้ว ถ้าพูดกันแบบภาษาชาวบ้าน เห็นแล้ว “แทบอ้วก” แต่ละคนล้วน “เขี้ยวลากดิน” พิจารณาจากพฤติกรรมย้อนไปในอดีตจะพบว่าคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมในการสร้างวิกฤติให้กับบ้านเมืองในทุกด้าน ทั้งประเภทร่วมหัวจมท้ายกับเผด็จการทหาร สร้างวิกฤตทางเศรษฐกิจ ใช้การเมืองเป็นอาชีพ เบิกทางไปสู่ความร่ำรวย สร้างอำนาจให้กับตัวเองและพวกพ้อง และนับวันคนพวกนี้ยิ่งขยายเครือข่ายครอบคลุมออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นทุกวันจนยากจะหยุดยั้งได้แล้ว

ถ้าไม่เชื่อก็ลองพิจารณารายชื่อนักการเมืองเขี้ยวลากดินพวกนี้ดูประกอบ และคิดตามไปด้วยก็ได้ว่า คนเหล่านี้ควรคู่กับการไว้วางใจหรือไม่ เริ่มจาก “หนุ่มนักเรียนนอก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตลอดเวลาผ่านมากว่าสองปีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอำนาจไร้บทบาทยอมเป็นเพียง “หุ่นเชิด” ให้กับกลุ่มอำนาจ เพียงเพื่อแลกกับการที่ให้ตัวเองได้นั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเท่านั้น โดยไม่ใส่ใจว่าจะสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองอย่างไร และทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสไปมากมาย

ถัดมาก็เป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เวลานี้เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่เมื่อดูจากการทำงานในตำแหน่งโดยตรงก็ลองทบทวนดูเอาก็ได้ว่าได้สร้างความมั่นคงอะไรบ้างให้กับบ้านเมืองขณะที่ตัวเองมีความรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ รวมไปถึงหากพิจารณาย้อนหลังในเส้นทางการเมืองหลายสิบปีก็จะพบว่ามีแต่เรื่องอื้อฉาวถูกกล่าวหาในเรื่องทุจริตฉ้อฉล ประพฤติมิชอบต่างๆ นานา จนไม่จำเป็นต้องยกมาพูดซ้ำ

เสนาะ เทียนทอง รายนี้ก็ไม่ต้องจาระไนกันมากย่อมข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าได้ทำความบอบช้ำให้กับคนไทยอย่างไรมาบ้าง เพราะสิ่งที่เขามักจะพูดด้วยความภาคภูมิใจแบบหลงตัวเองว่าเป็นคน “ปั้นนายกฯ” มาหลายคนแล้ว ซึ่งคำพูดดังกล่าวอีกด้านหนึ่งมันเหมือนกับมีเข็มมาทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจคนไทยกันเลยทีเดียว เพราะนายกรัฐมนตรีแสนดีของเสนาะแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น บรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ ทักษิณ ชินวัตร เชื่อว่าเมื่อได้ยินชื่อคนเหล่านี้แล้วต้องร้องยี้ สะอิดสะเอียนยิ่งนัก

ที่สำคัญคนพวกนี้ยังสะเออะเสนอหน้าลงสู่สนามเลือกตั้งจะกลับเข้ามาสู่เส้นทางอำนาจ ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องฟอกตัวเองให้สะอาด อ้างว่าชาวบ้านให้การยอมรับ ให้ฉันทามติเป็นตัวแทน จนหลงเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อผ่านการเลือกตั้งมาแล้วจะสามารถทำอะไรก็ได้ อ้างว่านี่คือประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง โดยไม่สนใจในรายละเอียดว่าจะมีการ “ซื้อเสียง” มีการข่มขู่อย่างไรกันบ้าง คนพวกนี้ก็ไม่เคยตระหนัก

ที่เห็นกันชัดๆ มีการออกตัวประกาศกันล่วงหน้าแล้วก็คือรายของ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีโกงชาติ โกงประชาชน ยังหลบหนีคดีอยู่นอกประเทศ และที่ผ่านมาได้ใช้เงินที่เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการโกงมาใช้ในการทำลายบ้านเมืองของตัวเองด้วยการ “บงการ” พรรคการเมืองของตัวเองนั่นคือ พรรคเพื่อไทย และเครือข่ายคนเสื้อแดงให้ออกมาก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมือง โดยมีเป้าหมายเดียวคือเพื่อต่อรองให้ตัวเองพ้นผิด หรือหวังไกลไปกว่านั้นก็คือการล้มล้างอำนาจรัฐที่มีอยู่ในลักษณะแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งที่ผ่านมาได้กรและทำมาแล้วถึงสองปีซ้อนนั่นคือในเหตุการณ์ “สงกรานต์เลือด” ปี 2552 และ “เหตุการณ์เดือนพฤษภาปี 53”

คำประกาศแบบอหังการ์ของ ทักษิณ และลิ่วล้อ ที่ออกมาในหลายรูปแบบมีทั้งประเภทข่มขู่ และหลอกต้มชาวบ้านทำกันทุกวิถีทาง แต่ที่น่าโมโหก็คือการประกาศว่าหากพรรคเพื่อไทยของตัวเองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีรายการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ให้ตัวเองพ้นผิด หลังจากนั้นแม้ว่าไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าตัวเองจะกลับเข้ามาในเส้นทางการเมืองและอำนาจอย่างเปิดเผย แต่ก็ต้องเดินไปอย่างนั้นแน่นอน

กรณีของทักษิณ ถือว่าได้มีความพยายามทำลายบรรทัดฐานที่เคยเป็นมาในบ้านเมืองนี้มาตลอด กลายเป็นว่า ต่อไปนี้ “ความผิด” สามารถถูกลบล้างได้โดยผ่านการเลือกตั้ง ต่อไประบบศาลยุติธรรมก็ไม่มีความหมายกระนั้นหรือ คำตัดสินของศาลต่อไปทั้งในคดีอาญา คดีแพ่งหรือแม้แต่คดีที่เกี่ยวกับการเมืองจะถูกลบล้างด้วยการเลือกตั้ง ที่สำคัญการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการซื้อเสียง หลอกลวงจะ “ฟอก” ทุกอย่างให้บริสุทธิ์ได้อย่างนั้นหรือ

นี่คือแนวโน้มของปรากฏการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง และเชื่อว่าความวุ่นวายจะมาจากสาเหตุของบรรดานักการเมือง “เขี้ยวลากดิน” พวกนี้เป็นคนก่อขึ้นทั้งสิ้น ลองคิดดูง่ายๆ ก็ได้ว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งกลับเข้ามา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการออกกฎหมาย นิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ชินวัตร แล้วจะเกิดความวุ่นวายเพียงใด จะมีคนไทยที่ต้องออกมาขับไล่กันอีก จะเกิดความวุ่นวายครั้งใหม่ ซ้ำเติมบ้านเมืองไม่หยุดหย่อน

ดังนั้น น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราคนไทย ไม่ว่าจะมาจากไหนก็ตาม น่าจะพิจารณาอ่านสถานการณ์และรู้เท่าทันนักการเมืองประเภทดังกล่าวได้ไม่ยาก และน่าจะช่วยกันหาทางสกัดกั้น “วงจรอุบาทว์”เหล่านี้ออกไปก่อน และทำได้ด้วยการรวมพลัง “โหวตโน” กันให้มากที่สุด เพื่อประท้วงและร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ให้รับรู้ทั่วกันว่าไม่ต้องการนักการเมืองประเภทนี้ และต้องการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่อย่างแท้จริง และต้องเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้ และวันนี้!!



กำลังโหลดความคิดเห็น