“นิคม” ย้ำไม่ลาอกจากตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา แม้ลงชิงตำแหน่งประธาน อ้างไม่มีกฎระเบียบห้าม ยันไม่เอื้อประโยชน์ใดๆ รับหาก ส.ว.สรรหาได้ครองเก้าอี้อีกสมัย อาจเกิดประเด็นขึ้นมาได้ ด้าน “สมชาย” ชี้ประธานคนใหม่ต้องเป็นกลาง ไม่สังกัดพรรคการเมือง
นายนิคม ไวรัชยพานิช รองประธานวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่ ที่มีข่าวว่า ส.ว.เลือกตั้งยังเสียงแตกในการเสนอชื่อ ขณะที่ ส.ว.สรรหา เตรียมเสนอชื่อ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ส.ว.สรรหาคนใหม่ เข้าชิงเพียงคนเดียวจะทำให้ตัดคะแนนกันเองของ ส.ว.เลือกตั้งหรือไม่ว่า ในระบอบประชาธิปไตยการเสนอชิงตำแหน่งประธานมีระเบียบขั้นตอนตามข้อบังคับการประชุม ตนเห็นว่าดีหากมีคนถูกเสนอชื่อมามากกว่าสองคน โดยการเลือกหากในครั้งแรกผู้รับการสรรหาไม่ได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งจะนำคนที่ได้คะแนนสูงสุดสองลำดับแรกมาลงคะแนนกันใหม่ จากนั้นใครได้คะแนนสูงสุดจะได้ตำแหน่งไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าว ส.ว.บางส่วนไม่พอใจที่ท่านยังคงอยู่ในตำแหน่งรองประธาน แต่จะลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานสภา นายนิคมกล่าวว่า แล้วแต่ใครจะคิด ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่ระบุว่ารองประธานต้องลาออกไปก่อนจึงจะลงสมัครได้ ในอดีตเคยมีรองประธานลงสมัครและเมื่อได้ตำแหน่งแล้วจึงลาออกจากตำแหน่งรองประธาน ตนไม่ได้กลัวพลาดแต่มองว่าต้องมีคนทำงานอยู่ หากตนลาออกจะเหลือรองประธานวุฒิสภาคนที่สองคนเดียวหากทำงานคนเดียว 6-7 ชั่วโมงคงทำงานลำบาก ขอยืนยันว่าไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ใคร ที่ผ่านมาการทำหน้าที่ประธานของตนได้พิสูจน์ความเป็นกลางแล้ว การเลือกก็ไม่จำเป็นต้องเลือกตนก็ได้เลือกคนอื่นก็ได้ แต่จะให้คนลาออกแล้วมีปัญหาการทำงานคงไม่เหมาะ จะมาอ้างเรื่องความชอบธรรมคงไม่เกี่ยวเพราะการลงคะแนนเสียงทุกคนมีเสียงเดียวเท่ากัน
ส่วนหากการเลือกครั้งนี้ได้ ส.ว.สรรหามาเป็นประธานอีกจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่นั้น นายนิคมกล่าวว่า คงอาจจะมีประเด็นขึ้นมาบ้าง แต่โครงสร้างของรัฐธรรมนูญเขียนให้การดำรงตำแหน่ง ส.ว.สรรหาและเลือกตั้งดำรงตำแหน่งเหลื่อมกันอยู่แล้ว การทำหน้าที่ควรสร้างระบบที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ด้าน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การเลือกประธานใหม่คงไม่พิจารณาว่ามาจากสรรหาหรือเลือกตั้งแต่ละคนอาจมีที่มาแตกต่างกัน แต่เมื่อทำงานแล้วจะมีอำนาจหน้าที่เท่ากัน การเลือกประธานจึงต้องพิจารณาจากคุณสมบัติประธานวุฒิสภาต้องเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ไม่อยู่ในผลประโยชน์ทางการเมืองใด ต้องมีความรักชาติรักแผ่นดิน ปกป้องสถาบัน มีความเสียสละ เหมือนที่นายประสพสุข บุญเดช อดีตประธานวุฒิสภาเคยปฏิบัติมา
ทั้งนี้ การพิจารณาอาจจะดูจากบุคคลที่มีชื่อในข่าวก่อนจากนั้นจะดูว่ายังมีผู้มีคุณสมบัติอีกหรือไม่ ตนเพิ่งทราบข่าวว่าอาจมีถึง 5-6 คนที่มีคุณสมบัติครบตามนั้น
ส่วนที่ ส.ว.เลือกตั้งเห็นว่าการเลือกประธานวุฒิสภาครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสของส.ว.เลือกตั้ง นายสมชายกล่าวว่า คงไม่มีปัญหาไม่ว่าจะได้ ส.ว.เลือกตั้งหรือสรรหามาเป็นประธาน ที่ผ่านมา ส.ว.อยู่ด้วยกันมาด้วยดี ไม่มีความจำเป็นว่าต้องเป็น ส.ว.ที่มีที่มาแบบใดมาเป็นประธานวุฒิสภา อย่างไรก็ดี การเลือกประธานในปี 2551 มีเวลาการเตรียมการเลือกประธานพอสมควรโดยมีการเปิดให้แสดงวิสัยทัศน์และมีการแข่งขันกันอย่างเต็มที่สุดท้ายจึงได้นายประสพสุข บุญเดช มาเป็นประธานด้วยการเลือกตั้งที่เป็นธรรมตนไม่คิดว่าการเลือกครั้งนี้จะมีการปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียงของ 40 ส.ว.จะมาเป็นเสียงตัดสินในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า คงไม่ใช่น่าจะเป็นเรื่องของสภาทั้งหมด ซึ่งจะมีการพูดคุยกันทั้ง ส.ว.เลือกตั้งและ ส.ว.สรรหาที่จะเลือกคนที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่ ในห่วงเวลาที่จะมีการเลือกตั้ง วุฒิสภามีความสำคัญในการทำหน้าที่ หากเกิดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยคงไม่มีปัญหา แต่หากต้องมีการเลือกตั้งหลายหนเหมือนปี 2549 วุฒิสภาต้องทำหน้าที่รักษาการเป็นเวลานาน วุฒิสภามีความสำคัญและประธานวุฒิสภาจะต้องรักษาการประธานรัฐสภาด้วย อย่งไรก็ดีเบื้องต้นตนไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร
ต่อข้อถามว่า กลุ่ม 40 ส.ว.จะมีการพูดคุยเรื่องตำแหน่งประธานวุฒิสภาหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า คงมีการคุยทั้ง ส.ว.สรรหา ส.ว.เลือกตั้งทุกคน และคงคุยมากกว่าเดิม กลุ่มฯพร้อมจะคุยกับทุกฝ่ายรวมถึงผู้ที่คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อ เพราะต้องการฟังวิสัยทัศน์ เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นในการเป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่ยุ่งเกี่ยวทั้งต่อหน้าและลับหลังต่อผลประโยชน์ทางการเมือง อาจจะมองว่าเรากำหนดสเปกสูงแต่ประธานวุฒิสภาเป็นสัญลักษณ์ที่สูงเช่นนั้น