“ปานเทพ” ซัด กต.โฆษณาแก้ตัวไทยไม่เสียดินแดน เป็นตรรกะที่ห่วยแตกที่สุด ดีแต่หลอกคนไทยทีบนเวทีอาเซียนทำไมไม่อ้าง ชี้แต่เดิมเขาวิหารมีแนวหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน แต่พอทำเอ็มโอยู 43 กลายเป็นไม่รู้ว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน ลั่นไม่ยอมเสียแผ่นดินครั้งที่ 15 ประเทศไทยพึงใครไม่ได้ต้องปฏิรูปการเมือง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” การเสวนา “ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน”
วันที่ 6 เม.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพกล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ ลงประกาศบนหน้าหนังสือพิมพ์ครึ่งหน้าว่า ให้ข้อมูลด้านเดียว ใช้งบฯจากภาษีประชาชนเพียงเพื่อจะบอกว่าเราไม่เสียดินแดน ทั้งที่ความเป็นจริงเขมรยึดครองอยู่ ไทยขึ้นไปไม่ได้ โดยข้อความตอนหนึ่งที่ลงในหนังสือพิมพ์ มีว่า “วัตถุการจัดทำเอ็มโอยู 43 เป็นเครื่องมือที่จะใช้สำรวจว่าเส้นเขตแดนสยามกับฝรังเศสเคยทำไว้อยู่ที่ใด จึงไม่ใช่การตกลงปักหลักเขตแดนแต่อย่างใด” แล้วทำไมจะไปปักหลักเขตแดนบริเวณเขาวิหาร ตามหลักสันปันน้ำที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เท่ากับเราสละข้อตกลงที่เคยทำไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
“รัฐบาลไทยได้คัดค้านเส้นเขตแดนเขาวิหารที่เขมรอ้างเป็นไปตามแผนที่ระวางดงรัก” นั้น เราเสียการยึดครองทางปฏิบัติแล้ว การที่เขมรเชิญธงชาติขึ้นสู่เสาฝ่ายเดียว ปล่อยให้คนไทยถูกจับที่บ้านหนองจาน อย่างนี้สิทธิของไทยอยู่ตรงไหน
และที่ว่า “เอ็มโอยู 43 ไม่รวมระวางดงรัก ไม่เป็นปัญหาอะไร” นายปานเทพกล่าวว่า ก็ดีแต่หลอกคนไทย แต่ที่เวทีประชุมอาเซียนเงียบกริบ ไม่เห็นเอาไปอ้างเพราะเถียงสู้เขาไม่ได้
“เอ็มโอยู 43 เป็นการตกลงเพื่อเป็นกรอบเจรจา ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ” ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่รอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเอ็มโอยู 43 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 หรือไม่ อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตแล้วเนื่องจากแต่ก่อนเขาวิหาร มีแนวหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนชัดเจน แต่พอทำเอ็มโอยู 43 กลายเป็นไม่ชัดเจนว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน
ส่วนกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศลงประกาศต่อว่า “การนำบันทึกเจบีซี 3 ฉบับเข้าสภา ไม่เป็นปัญหา เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องทำ” นั้น นายปานเทพกล่าวว่า ถ้าเมื่อมีหลายขั้นตอนยังไม่ถึงขั้นลงนาม ทำไมต้องเสนอมาขอความเห็นชอบจากสภา เพราะท่านกะลักไก่ใช้หรือไม่ รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรค 2 ระบุว่า อนุมัติเมื่อไร ขั้นตอนต่อไปลงนามทันที
และส่วนที่ว่า “เอ็มโอยู 43 นำไปสู่แก้ไขปัญหาอย่างสันติ ดังนันการใช้กำลังเข้าผลักดันกัมพูชาจะทำให้ถูกมองว่าใช้กำลังรุกราน” แล้วทำไมตอนที่เขมรใช้กำลังรุกรานเรา เราถึงไม่ใช้เงื่อนไขเช่นเดียวกันอ้าง อีกอย่างทำไมไม่ใช้กฎบัตรสหประชาชาติปกป้องตัวเอง โดยบอกไปว่าเส้นเขตแดนไทยอยู่ตรงไหน เพื่อไม่ให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง
ทั้งนี้ “เมื่อเป็นที่พิพาท แม้ไทยมีกำลังเหนือกว่า แต่กฎบัตรห้ามใช้กำลัง” แล้ววันที่ 4-6 ที่ผ่านมา กัมพูชาไม่ใช้กำลังหรือ ดังนั้น ที่กระทรวงการต่างประเทศลงประกาศถือเป็นตรรกะที่ห่วยแตกที่สุด ชัดเจนตอนนี้ประเทศไทยพึงใครไม่ได้ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ นอกจาก 1.ไม่มีการเลือกตั้ง แล้วปฏิรูปการเมือง หรือ 2.ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน
นอกจากนี้ นายปานเทพยังได้นำภาพการสูญเสียดินแดน 14 ครั้งมาให้ดูว่าประเทศไทยเคยใหญ่แค่ไหน ภาพแรกเป็นสมัยตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่าสยามประเทศ เมื่อก่อนไม่ว่ามาเลเซียบางส่วน ลาว กัมพูชา ทั้งหมดคือแผ่นดินสยาม แต่ท่ามกลางการล่าดินแดนของ ฝรั่งเศส บุกเข้ามาทางทิศตะวันออก และอังกฏษ บุกด้านทิศตะวันตก ทำให้เราสูญเสียดินแดน 14 ครั้ง ภาพที่สอง คือ พื้นที่ที่เราสูญเสียไป (สีแดง) อาจกล่าวได้ว่ามากกว่าพื้นที่ที่เราเหลืออยู่อีก แล้วทำไมราจะปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งเขาวิหาร ในเมื่อสิ่งที่เราเหลืออยู่ตอนนี้มันไม่ควรจะถอยไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ครั้งที่ 1 เราเสียเกาะหมาก ให้ประเทศอังกฤษ ครั้งที่ 2 เสียเสียมะริด ทวาย ตระนาวศรีให้กับพม่า ครั้งที่ 3 เสียบันทายมาศ ให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ 4 แสนหวี เมืองพง เชียงตุงให้กับพม่า ต่อมาในสมัยรัชการที่สาม เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไทยทำการค้าขายกับประเทศจีน ทำให้ยุโรปซึ่งไม่ค้าขายกับจีนโดยตรงได้ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการค้าขาย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่มาก ส่งผลให้ประเทศไทยตกเป็นเป้าสายตาต่อประเทศล่าอาณานิคม
ครั้งที่ 5 เราเสียรัฐเปรัค ให้อังกฤษ ครั้งที่ 6 เราเสียสิบสองปันนาให้จีน ครั้งที่ 7 เสียเขมรและเกาะอีก 6 เกาะให้ฝรั่งเศส จนไทยต้องลงนามสัญญาเบาริ่ง เกิดการลงทุ้นครั้งใหญ่ บรรดาพ่อค้าเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
ต่อมาครั้งที่ 8 เสียสิบสองจุไทย ให้ฝรั่งเศส ครั้งที่9. ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาระวิน ครั้งที่ 10 เสียลาวทั้งประเทศ ให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ 11 เสียฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ 12 เสียพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส แต่เราได้จันทบุรี ตราด เกาะกูด กลับคืนมาทำให้ไทยสามารถรักษาแหล่งพลังงานได้จนถึงทุกวันนี้ ครั้งที่ 13 เสีย รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทยบุรี ปริส ให้อังกฤษ แท้ที่จริงเราเป็นประเทศเดียวกัน
ครั้งที่ 14 เสียเขาวิหาร ให้กับกัมพูชา ภายใตัคำพิพากษาศาลโลก แต่รัฐบาลไทยไม่ยินยอมได้ทำข้อสงวนจะทวงคืนในอนาคตให้องค์กรสหประชาชาติ พร้อมกับล้อมรั้วเอาไว้ แม่แต่ตัวปราสาทเรายังไม่ยอม 2505 ประชาชนเดินขบวนทั้งประเทศ แม้กระนั้นยังจะเกิดขึ้นมาอีก ครั้งที่ 15 ไทยปล่อยให้เขมรยึดครองแผ่นดิน โดยอ้างยังไม่เสียเพราะยังไม่ผ่านสภา เป็นการใช้อุบายแก้ตัว แบบไม่รับผิดชอบ
“ที่เรายืนหยัดทุกวันนี้ ในฐานะเกิดในแผ่นดินไทย เราไม่ได้ต้องการแย่งชิงอำนาจจากใคร แต่ต้องการให้ทุกฝ่ายรักษาแผ่นดิน ไม่น่าเชื่อแผ่นดินสยามที่เคยใหญ่ที่สุด เสียไปเพราะความจำเป็นที่ต้องเผชิญกับประเทศมหาอำนาจ จนแหลือแค่นี้แล้วทำไมเราจะปกป้องไม่ได้ในเมื่อไม่มีประเทศมหาอำนาจมาคุกคามแล้ว”